“กองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทย” ผสาน “มูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์”
เดินหน้าแก้ปัญหาป่าไม้ น้ำหลากและน้ำแล้ง สร้างความสมดุลน้ำให้พื้นที่ลุ่มน้ำยม
ภายใต้โครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแนวพระราชดำริ เป็นปีที่ 4
(แพร่ – 1 ธันวาคม 2561) - กองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทย ภายใต้มูลนิธิฮอนด้าประเทศไทย ผสานความร่วมมือกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ สานต่อโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแนวพระราชดำริ เป็นปีที่ 4 และได้ขยายการดำเนินงานสู่พื้นที่ลุ่มน้ำยมปีนี้เป็นปีแรก พร้อมจัดกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ "สร้างฝายหินก่อและฝายชะลอน้ำ" เพื่อบริหารจัดการน้ำในตำบลแม่จั๊วะ ร่วมกับเครือข่ายชุมชนแม่จั๊วะ กองทัพภาคที่ 3 ร้านผู้จำหน่ายและจิตอาสาจากกลุ่มลูกค้ารถยนต์และรถจักรยานยนต์ฮอนด้าจังหวัดแพร่ ณ อ่างเก็บน้ำแม่จั๊วะและลำห้วยหีด จังหวัดแพร่ เพื่อแก้ปัญหาป่าไม้ น้ำแล้ง และน้ำท่วม สร้างความสมดุลน้ำให้แก่ชุมชนในพื้นที่ลุ่มน้ำยมอย่างยั่งยืน
นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร กรรมการผู้จัดการกองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทย กล่าวว่า “ปัญหาการจัดการน้ำนับเป็นปัญหาสำคัญของประเทศที่ต้องอาศัยความร่วมมือจากหลายภาคส่วน ซึ่งกองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทยมีความพร้อมสนับสนุนกิจกรรมเพื่อสังคมมาอย่างต่อเนื่อง ตามเจตนารมณ์ของฮอนด้าในการสร้างคุณค่าเพื่อเป็นองค์กรที่สังคมไทยต้องการให้ดำรงอยู่ตลอดไป จึงผสานความร่วมมือกับมูลนิธิอุทกพัฒน์ ในพระบรมราชูปถัมภ์ ดำเนินโครงการพัฒนาแหล่งน้ำตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 อย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 4 โดยเริ่มดำเนินโครงการในพื้นที่ลุ่มน้ำปราจีนบุรี ตั้งแต่ปี 2558 โดยตลอด 4 ปีในการดำเนินงานสามารถแก้ไขปัญหาน้ำหลากและน้ำแล้งในพื้นที่ตำบลนาแขม ตำบลเมืองเก่า ตำบลดงขี้เหล็ก และตำบลหัวหว้า จังหวัดปราจีนบุรีได้บรรลุผลสำเร็จ ต่อมาในปี พ.ศ. 2560 ได้ขยายผลการดำเนินงานสู่พื้นที่ลุ่มน้ำน่าน โดยตลอด 2 ปีในการดำเนินงานสามารถพัฒนาแหล่งน้ำและเสริมศักยภาพโครงสร้างน้ำ รวมทั้งบรรเทาปัญหาน้ำหลาก น้ำท่วม และน้ำแล้ง ในพื้นที่ตำบลบ่อเกลือใต้ และตำบลบ้านร้องแง จังหวัดน่าน และตำบลนครป่าหมาก จังหวัดพิษณุโลก และในปี 2561 โครงการฯ ได้ขยายผลการดำเนินงานสู่พื้นที่ลุ่มน้ำยม ซึ่งเป็นแหล่งต้นน้ำหนึ่งใน 25 ลุ่มน้ำหลักที่สำคัญของประเทศไทย ครอบคลุม 10 จังหวัดภาคเหนือ ทั้งนี้ กองทุนฮอนด้าเคียงข้างไทยให้การสนับสนุนงบประมาณรวมทั้ง 3 ลุ่มน้ำตั้งแต่ปี 2558 – 2561 เป็นจำนวนทั้งสิ้น 42.6 ล้านบาท”