2 ลบ. เบนซ์ได้ CLA GLA ตัวล่าง 

บีเอ็มได้ 320i อย่างเดียว 

1.ด้านการซ่อมบำรุง

ทั้งสองตัวยังไม่ออกลายให้เห็น 

เท่าที่สัมผัสมา (จากอู่ใกล้ชิดหลายอู่ และเพื่อนฝูง) พบว่า เบนซ์รุ่นหลังๆเปราะ อุปกรณ์ไฟฟ้าชอบเสีย เช่น กล่องเกียร์ ใน E-class 212 (ราคา 7 หมื่นบาทไทย) เสียยอดฮิตติดลมบน  อู่ที่ผมทำประจำ เจอ คอมแอร์เสียบ้าง กล่องบ้าง แต่เชิญลูกค้าไปซ่อมศูนย์ เพราะยังมีประกัน 

ไม่แน่ใจนว่า BMW มีปัญหาแบบเดียวกันหรือไม่ เพราะ BSI คุมอยู่ อาจมีเสีย แต่ไม่ค่อยเป็นข่าว เท่าที่ใช้ BMW มา จุกจิกพอควร ทั้ง E34 (เสียบ่อยเพราะการออกแบบอุปกรณ์ เช่น ปัดน้ำฝน ช่วงล่าง)  E39 (พวกเกียร์ กับสมองกล) หลังจากรุ่นนี้ผมก็เลิกตามแล้ว ประสาทจะกิน ช่างน้อยกว่าเบนซ์ 

2.ด้านการขับขี่
          ธรรมชาติ BMW นั้น ผมเห็นว่าขับเกาะกว่ากันเยอะเลย แต่ช่วงล่างทนทานน้อยกว่าเบนซ์ (แต่ใกล้เคียงกันนนะ) 
3.ให้เลือก...เงินก้อนนี้ ผมเลือก E class มือสอง เครื่องดีเซลครับ  หรือ ถ้าเล่นหัวตัดเป็น อาจลองเป็น 520d 525d ก็ได้ครับ 

ตามคุณสงครามเลยครับ แต่ขอให้ข้อมูลเท่าที่ทราบเพิ่มเติมนะครับ... ปกติ 2 ยี่ห้อนี้มีจุดเด่นจุดด้อยหลักๆ ดังนี้ครับ

- MERCEDES-BENZ: เครื่องยนต์และช่วงล่างทนทาน นุ่มนวลกว่า การยึดเกาะถนนและการทรงตัวดีในช่วงความเร็วต่ำ-ปานกลาง อัตราเร่งและความสิ้นเปลืองจะด้อยกว่า BMW เล็กน้อยในพิกัดเดียวกัน... สมัยก่อนทนทานและซ่อมถูกเพราะหาอะไหล่นอกศูนย์ได้สบายๆ แต่สมัยนี้พอๆ กันครับ

- BMW: การยึดเกาะถนนและการทรงตัวดีในช่วงความเร็วต่ำ-สูง อัตราเร่งและความสิ้นเปลืองดีกว่า MERCEDES-BENZ เล็กน้อยในพิกัดเดียวกัน

สมัยนี้ สมรรถนะและคุณภาพไม่แตกต่างกันมากแล้วครับสำหรับรถยุโรป อเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น ถ้าไม่ยึดติดค่านิยมเดิมๆ ก็ลองดูนะครับ ประหยัดไปได้เป็นล้าน ค่าซ่อมบำรุงต่ำกว่าด้วย

 ทั้งคู่  ดีด้อย  ไม่ต่างกัน  เลือกคันไหนที่ชอบ  ได้ทั้งนั้น

แต่สิ่งที่จะต้องยอมรับความจริงคือ  เมื่อหมด bsi  หรือใกล้จะหมด  คุณจะขายออกได้ไม่เกินครึ่งราคาที่ซื้อมามีเรื่องเดียว  ที่ต้องกังวล

 มันไม่เหมือนรถญี่ปุ่นตรงนี้แหละ  รถญี่ปุ่น  ผมซื้อ ป้ายแดง  ยุโรป  ผมซื้อมือสอง