ขอบพระคุณอาจารย์ที่เข้ามาตอบครับ รถติดมากขึ้นทุกวัน(ขนาดมหา"ลัยยังไม่เปิด) เมื่อเช้าวันศุกร์ 6โมงเช้า ติดนิ่งๆบนแยกราชพฤกษ์ขาเข้าเพชรเกษม 30 นาที ไม่ขยับ ยังไงรถ ซ๊ ซี เท่ากัน ติดอยู่ในสภาพเดียวกันผมว่า ยังไงก็กินน้ำมันต่างกันใน 30 นาทีนี่ต้องมีต่างกันเกิน 10 ซีซี (สมมติระหว่างเฟียสต้า กับ แจ๊ส) แล้วถ้าติดบ่อยๆทุกวัน เดือนหนึ่งคงหลายตังค์ ก็เลยทำให้ผมเกิดความคิดแผลงๆแบบนี้ขึ้นมา เดี๋ยวนี้ถนนมีไว้ก่อสร้างรถไฟฟ้ากันหมด นั่งติดเครื่องเผาน้ำมันก็เลยฟุ้งซ่านแบบนี้ครับ

ผมมีเครื่องมือวัดแรงม้า, แรงบิด, วัดอัตราสิ้นเปลือง ฯลฯ ซึ่งหิ้วมาจากเมืองนอก ( อเมริกา ) นานมากประมาณสิบห้าปีแล้ว ระยะแรกผมทดสอบรถก็เอาเครื่องมือนี้เป็นเกณฑ์และถ่ายภาพให้ดูด้วย ก็มีท่านผู้รู้มากมายแย้งว่า  นี่เป็นเครื่องมือที่ไม่ได้ผ่านมาตรฐานโน่นนี่นั่น ผมก็ได้เรียนไปว่า มันเป็นเครื่องมือที่ช่างตามทีมแข่งเขาใช้กัน  ซึ่งเขาใช้วัดว่ากำลังมันเพิ่มขึ้นหลังจากจูนอัพไปเท่าไหร่ แม้จะไม่ได้มาตรฐาน แต่ถ้ารถทุกคันใช้เครื่องมือวัดอันเดียวกัน มันก็จะมีค่าคลาดเคลื่อนหรือไม่คลาดเคลื่อนเท่ากัน  แต่ก็ยังมีท่านผู้รู้ที่พยายามแย้งนิดแย้งหน่อยอยู่เรื่อย ผมรำคาญตั้งแต่นั้นมารายการของผมทุกรายการ  จึงไม่เคยพูดถึงอัตรสิ้นเปลืองให้ต้องมานั่งเถียงกัน ทุกวันนี้ผมยังนั่งมองเจ้าเครื่องมือที่ว่านี่อยู่เลย เพราะลงทุนควักกระเป๋าไปเป็นแสนๆ รุ่นหนึ่งใช้ไปได้ไม่เท่าไหร่ ก็เอารุ่นสองที่ต่อเชื่อมกับโน๊ตบุ๊คได้มาอีกหนึ่งเครื่อง เครื่องทั้งสองตัวสอนให้ผมรู้ว่า สังคมไทยยากที่จะทำให้ใครเปลี่ยนความเชื่อที่ฝังอยู่ในตัวของแต่ละคนได้จริงๆ ครับ

ตามที่คุณ non ให้ความเห็น เห็นตามครับ

อดไม่ได้เห็นคำถาม และ คำตอบ เลยอยาก สาระแน บ้าง

ติดเครื่องแล้วเปิดแอร์ รถอยู่นิ่งๆ มันไม่ต่างหรอกครับ ผลทางวิศวกรรมไม่ให้น้ำหนักในการนำมาคำนวนอัตราการสิ้นเปลือง เพราะ รถ คือ ยานพาหนะที่ใช้ขับเคลื่อน

เพราะฉะนั้น การที่อัตราการสิ้นเปลืองมันต่างกัน คือระยะเวลาที่คุณได้เอาเท้ากดลงไปที่คันเร่งแล้วเกียร์ทำงาน ถ้าสภาวะการจราจรที่ติดโ ค ต ร คุณใช้แค่ 2 เกียร์ ถึงจะอีโค คาร์ มันก็ซดเหมือนกัน ค่อยๆขยับ เร่ง เบรค เร่ง เบรค มันก็เหมือนกัน

เพราะฉะนั้นการจะวัดว่ารถคันไหนสิ้นเปลืองกว่ากัน ก็ต้องวัดในสภาวะเดียวกัน คนขับคนเดียวกันจึงจะมีประสิทธิภาพ 

เพราะคงไม่มีใครซื้อรถมาเปิดแอร์ จอดไว้นิ่งๆ .......

เอาตรงประเด็นง่ายๆนะครับ เทียบ เฟียสต้า 1500 กับ แจ๊ส แล้วกัน คือผมอยากรู้ว่าจอดติดเครื่องเดินเบา ไม่ต้องวิ่งนะครับ ในเวลาเท่ากันใครใช้น้ำมันมากกว่ากัน? เพราะเท่าที่ดูในคลับของรถโดยเฉพาะรถยุโรป เช่นเชฟฯ ฟอร์ด จะบ่นกันว่าถ้าในเมืองคือรถจอดติดนานๆ รถค่ายฝั่งยุโรป จะกินน้ำมันมากกว่า ส่วนใหญ่จะบอกว่ารถยุโรปตัวหนักกว่า หรือไม่ก็อยู่ที่วิธีการขับ ฯลฯ

ผมถึงอยากรู้ไงครับว่า ถ้าจอดเฉยๆนี่แหละ(จะได้ตัดเรื่องนน.รถและวิธีการขับออกไป)ติดเครื่องในรอบเดินเบา ในเวลาเท่ากัน ใครใช้น้ำมันมากกว่ากัน?

มันมีผลต่อการเลือกซื้อรถเหมือนกันนะครับ รถติดๆผมว่าเฟียสต้ายังไงก็กินกว่าแจ๊สมากอยู่ แต่เวลาโฆษณาค่าเฉลี่ยจะออกมาแบบสู้กันได้ จากกระทู้ที่ถามเรื่องรถคู่นี้ ผมก็ไปตอบว่าถ้าใช้ในเมืองรถติดๆน่าใช้แจ๊สมากกว่า

ในทางเทคนิครถ ซีซี เท่ากัน จอดนิ่งๆในรอบเดินเบา อะไรทำให้การใช้น้ำมันต่างกัน? ใครจะว่าผมอยากรู้ไปทำไม? ผมว่ามันก็น่ารู้นะครับ ถ้าอธิบายได้คำนวณจากปริมาตรกระบอกสูบ,แรงอัด หรืออะไรที่เป็นวิทยาศาสตร์ได้ก็ดีครับเป็นความรู้ความเข้าใจ

ขออภัยที่คำถามผมอาจสร้างความรำคาญให้บางท่าน และขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาตอบ แม้จะไม่ค่อยตรงตามที่ผมต้องการรู้เท่าไหร่ก็ตาม

คุณต้องการรู้ไปเพื่ออะไรล่ะครับ รู้เพื่อตัวเองก้อทดสอบรถของเราเองเลยจะได้รู้ว่ารถเราประหยัดแค่ไหน ไม่ต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นครับ อย่างที่คุณนนท์บอกไว้ถูกต้องแล้วครับ

บริษัทรถทุกค่ายก้อพยายามที่จะบอกว่าของตัวเองประหยัดกันทั้งนั้นเพื่อผลประโยชน์ในการโฆษณาขายสินค้าของตัวเอง

ผมเห็นหลายคนชอบออกมาบอกว่ารถของตัวเองแรงกว่าคนอื่น ประหยัดกว่าคนอื่น ส่วนใหญ่จะเป็นการคุยข่มกันมากกว่า

ขออภัยถ้าทำให้ใครไม่ชอบใจนะครับ

การหาอัตราสิ้นเปลืองรถขับในเมืองการจราจรติดๆขัดๆนั้นทำยากครับทดลองหลายครั้งจะได้ไม่เท่ากันทุกครั้ง ระยะทางเท่ากันวันนี้รถติดมากเดี๋ยวติดๆ อีกวันนึงติดนานพอหลุดแล้วไปได้ยาวกับรถไม่ติดแต่เคลื่อนตัวช้าๆ 3กรณีนี้ความสินเปลืองก็ต่างกันแล้วครับ อีกอย่างนึงก็ขึ้นอยู่ที่สไตล์การขับของแต่ละคนด้วย การเหยียยบคันเร่งการออกตัว การเหยียบคลัทชการเปลี่ยนเกียรมีผลครับ

ขอตอบคุณ 306 สีน้ำเงิน คาร์บอนมอนดอกไซด์ และ 306 สีน้ำเงิน+fiesta เทาๆ ครับ

นิตยสารที่มีข้อมูลทดสอบน่าเชื่อถือสำหรับผมและหลายๆ ท่านก็คือนักเลงรถ นักเลงรถกระบะ มีผลทดสอบต่างๆ ทั้งอัตราเร่ง ความเร็วสูงสุด สมรรถนะช่วงล่าง เบรก รวมถึงความสิ้นเปลืองในและนอกเมือง

และที่คุณเทียบรถ 2 คัน ซีซีต่างกัน คนขับคนละคน ไปคนละเส้นทางและเวลา น้ำหนักผู้โดยสารและสัมภาระ มันจะเทียบได้ยังไงครับ?

- ซีซีต่างกัน: ซีซีสูงกว่าจะสิ้นเปลืองกว่าเป็นส่วนใหญ่ เว้นแต่เทคโนโลยีต่างกันมาก เช่น เครื่องใหญ่กว่าแต่มีระบบ Hybrid (ไฟฟ้าช่วยขับเคลื่อน) หรือ Gasoline Direct Injection หรือ ออกแบบให้มีแรงบิดสูงในรอบต่ำกว่าทำให้ทดเกียร์และเฟืองท้ายได้ต่ำ เป็นต้น ก็จะประหยัดกว่าเครื่องเล็ก

- คนขับคนละคน: นิสัยการขับขี่แต่ละคนต่างกัน การควบคุมน้ำหนักคันเร่ง บางคนเร่งๆ ผ่อนๆ เบรกบ่อยก็จะเปลืองกว่าคนที่เหยียบคันเร่งนิ่งๆ บางคนชอบ Kick Down เพื่อเร่งแซงบ่อยๆ ก็ซด เป็นต้น

- ไปคนละเส้นทางและเวลา: แม้จะในเมืองเหมือนกัน อีกคันขึ้นทางด่วนตอนเช้า รถไม่ติด อีกคนออกสายรถติดมาก ก็สิ้นเปลืองต่างกันอีกครับ

- น้ำหนักผู้โดยสารและสัมภาระ: รถ 2 คันมีน้ำหนัก ภาระที่ส่งต่อเครื่องยนต์ไม่เท่ากัน ความสิ้นเปลืองก็ต่างกัน

ดูจากคำถามคุณแล้ว Hybrid จะเหมาะกว่า เพราะที่ความเร็วต่ำๆ - หยุดนิ่ง จะเป็นระบบไฟฟ้าจนกว่าไฟจะใหล้หมดก็จะติดเครื่องยนต์เพื่อชาร์จประจุเข้าไป หรือเป็นพวกเก๋งดีเซลที่แรงบิดสูงๆ ก็จะไม่ค่อยเปลือง เพราะแรงเหลือเฟือ ไม่โดนฉุดเหมือนเครื่องเบ็นซินเวลาเปิดเครื่องปรับอากาศ... แต่เป็นไปได้อย่าจอดรถติดเครื่องยนต์เพื่อนอนเลยครับ อันตรายทั้งตัวคุณ แถมยังทำให้โลกร้อน คนอยู่นอกรถเหม็นควัน (ผมยังว่าประจำเลยเวลาเห็นคนทำแบบนี้ว่า "บ้านเป็นเจ้าของปั๊มหรือไง? ติดเครื่องเผาน้ำมันเล่น" ฯลฯ)

 ไปแยกวรจักร มีมิเตอร์วัดระยะเวลา (เป็นรุ่นที่ใช้กับรถอุตสาหกรรม เช่น ฟอร์คลิฟ แทรกเตอร์)

เอามาติด เพื่อประกอบการพิจารณาการกินน้ำมัน ขณะที่รถติด

ความเห็นส่วนตัว :

ใช้รถขนาด 1.6 กับ 2.0 ลิตร รถติดหนัก แถวแจ้งวัฒนะ กิน 6-7 โลลิตรเท่า ๆ กัน

แต่ถ้าวิ่งต่างจังหวัด ต่างกัน ได้ 15+ โลลิตร กับ 10+ โล ลิตร 

งง ถามเองตอบเอง

อ้าว โชว์ IP เดียวกันซะงั้น สารภาพครับ แบบว่าอยากให้ทดสอบจริงๆ เพราะมันเป็นชีวิตจริงที่เราๆใช้กันอยู่

เห็นด้วยนะ น่ามีการทดสอบ สมมุติไปเที่ยวต่างจังหวัดช่วงเทศกาล ไม่มีที่พัก ไปนอนหน้าห้องน้ำปั๊มแทนรีสอร์ท โรงแรม  ติดเครื่องเปิดแอร์นอน ยี่ห้อไหนเสียค่าน้ำมันน้อยสุด แล้วตื่นมาไม่เจอยมฑูต???

ขอเพิ่มอีกหน่อย คือผมใช้เฟียสต้า 1600 บ้านตรงข้ามใช้  JAZZ 1500 ผมเข้าเมือง เขาไปแจ้งวัฒนะ ค่าน้ำมันเดือนหนึ่งต่างกัน2 พัน ระยะทางกับรถติดพอๆกัน ซีซี ต่างกัน 100 ซีซี เลยสงสัยการกินน้ำมันขณะรถติด น่าจะมีประโยชน์กับการเลือกซื้อรถนะครับ