ติดตัววัดโวลท์แบตดูก็ได้ครับ มีไว้ก็ดีวันไหนโวลท์ตกนั่นแหละสัญญาณเปลี่ยนไดชาร์ท ใช้ไปเรื่อยๆ ถ้ายังไม่มีอาการไม่ต้องไปเปลี่ยนมันหรอกครับ รถผมคันที่ 1  22 ปียังไม่เสีย คันที่ 2 18 ปียังไม่เสีย(เปลี่ยนแบตไป 3 ลูก) คันที่ 3 11 ปียังไม่เสีย (4 ลูก เกียร์ออโต้กินแบต) 

fb ทนสุดแต่หาซื้อยาก

เครื่องยนต์ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรมาก อีกสักพักกะว่าจะเปลี่ยนไดชาร์ท เพราะใช้มา 6 ปีกว่าแล้ว เกียร์ออโต้เปลี่ยนไปแล้วสักประมาณ 2 แสน 2 หมื่นกิโลได้ ฝาสูบเปลี่ยนไปครั้งนึงสักปีกว่าๆ (หม้อน้ำรั่ว เครื่องฮีท) หลังเปลี่ยนหม้อน้ำใหม่ เดินท่อน้ำ เปลี่ยนอะไหล่ที่เกี่ยวกับระบบน้ำใหม่ ก็ยังไม่มีปัญหาอะไร สรุปว่า คงจะใช้ไปเรื่อยๆ ครับ

ขอบคุณทุกท่าน ทุกความเห็นนะครับ บอร์ดนี้มีน้ำใจให้กันเสมอ อย่างที่ อ.พัฒนเดช ตั้งใจไว้ให้เป็นบอร์ดปลอดธุรกิจจริงๆ ครับ

ถ้าลักษณะการใช้งานน้อยแบบคุณห้าจุดผมเห็นด้วยที่จะเปลี่ยนตามเวลา (6 เดือน) ไม่ต้องรอให้ถึง 10,000 กม. ครับ (แต่ผมใช้วันละเกิน 100 กม. ประมาณ 3-4 เดือนก็ได้ 10,000 กม. แล้ว น้ำมันยังไม่หมดสภาพ) สรุปว่า...

- ถ้าใช้ระยะทางน้อย วิ่งในเมืองเป็นหลัก หรือใช้ระยะทางมากๆ แต่เป็นเส้นทางมีฝุ่นละอองมากให้เปลี่ยนบ่อยๆ ครับ

- ถ้าใช้ระยะทางมากๆ ให้เปลี่ยนที่ 10,000-15,000 กม. (ตามชนิดและมาตรฐานน้ำมันเครื่อง) ครับ

มันใช้ได้ถึงจริงครับแต่ดูสีน้ำมันแล้วและความหนืดและอืดของรถ ส่วนตัวผมเปลี่ยนดีกว่าเพราะผมคิดว่าคุ้มแล้ว เพราะรถผมกว่าจะวิ่งถึง 5 พัน ใช้เวลาเกือบ 6 เดือน และราคามันแค่ 1350-500 (บัตรเติมน้ำมัน500) สรุปน้ำมันเครื่องสังเคราะห์ 850 บาท โอ๊วพระเจ้าจ๊อทมันถูกมากครับ

รถอืดกินทั้งก๊าซและน้ำมันเกียร์ออโต้ก็ทำงานหนักเพราะเหยีบไม่ออกเกียร์มันก็จะคิกดาว สรุปเริ่มอืดแล้วสีน้ำมันเครื่องเปลี่ยน ก็จัดการได้แล้วสำหรับผมครับ

เห็นด้วยกับคุณ 5 จุดครับ แต่ขอแสดงความเห็นเพิ่มเติมว่ามาตรฐานน้ำมันเครื่องยุคปัจจุบันดีกว่าเมื่อก่อนมาก (เดี๋ยวนี้ไปถึง API-SM แล้วครับ... เมื่อก่อน SG ก็หรูแล้ว) แค่กึ่งสังเคราะห์ก็ใช้ได้เกิน 10,000 กม. หรือ 6 เดือนแล้วครับ (ยิ่งถ้าใช้ระยะทางวันละกว่า 50-60 กม. ยิ่งสบายครับ 6 เดือนก็เปลี่ยนครั้งหนึ่ง) แบบสังเคราะห์ก็ได้ 15,000-20,000 กม. ยิ่งถ้าเครื่องยนต์ยังไม่หลวมก็ใช้ความหนืดตามที่รถรุ่นนั้นๆ ระบุครับ (รุ่นนี้น่าจะประมาณ 10W40) การเปลี่ยนถ่ายที่ 8,000 กม. (หรือ ใช้แบบสังเคราะห์) ก็ไม่มีผลเสียอะไร นอกจากเงินในกระเป๋ากับสิ่งแวดล้อมจากน้ำมันเครื่องที่ถูกถ่ายออกมาก่อนหมดอายุการใช้งาน)

ซื้อใหม่มาพอมันเก่ามันก็ต้องซ่อม (ไม่ใช่เป็นการแก้ปัญหาเลย ยกเว้นแต่อยากได้รถใหม่)

รถเก่าแล้วไม่จำเป็นต้องเข้าศูนย์หรอกครับหาอู่ที่ไว้ใจได้คอยซ่อมตามอาการ เปลี่ยนถ่ายของเหลวตามระยะ เมื่อรถสมบรูณ์แล้วค่อยติดแก๊สแบบหัวฉีด(ถ้ารถคุณเป็นระบบหัวฉีด) น้ำมันเครื่องสังเคราะห์ดีที่สุด ไม่ต้องเอาหรูหรา ปตท. ก็ใช้ได้ครับ(ซื้อตามร้านอะไหล่ๆ) ถูกคุ้มค่ากับราคา แล้วไปจ้างปั้มถ่ายครับ 8 พันโลก็ถ่ายทิ้ง ของคุณวิ่งวันละ 80 ก็ 100 วัน 3 เดือนผมว่าโอเคแล้ว 

ราคาติดแก๊ส + ปรับปรุงเครื่องยนต์ให้สมบรูณเต็มที่ไมเกิน 5 หมื่น แล้วจะเสียเงินหลักแสนไปใยเล่า

 หากไม่แคร์ว่าเก่าไป  หรืออยากได้รถใหม่  น่าใช้ต่อไป  ซ่อมตามอาการครับ  เกียร์ น่าจะใกล้ถึงเวลาแล้ว  ส่วนเครื่องหากยังสมบูรณ์ ก็ยังไม่สมควรที่จะยกเครื่องใหม่  เก็บเงินไปเรื่อย ๆ ก่อนดีกว่าครับ  ส่วนจะติดแก๊สอย่างคุณนนท์บอกก็ดีครับ  ประหยัดดี ต่อให้ขึ้นไปอยู่ที่ 16 บาทก็ยังประหยัดกว่าอยู่ดีครับ

ตามความคิดผม ถ้ารถมันยังไม่มีปัญหาอะไร จะ Overhaul อีกสักครั้งแล้วเอาไปติด LPG ก็จะคุ้มกว่าซื้อรถใหม่มากๆ ครับ แต่ถ้าไม่ได้ติดแก๊ส...

- เล่นกระบะดีเซลดีกว่าครับ ประหยัด (ทั้งราคาเชื้อเพลิงต่อลิตรและอัตราสิ้นเปลือง) และทนทานกว่า แถมลุยน้ำท่วมได้ด้วยครับ (ที่น่าสนก็ FORD Ranger 2.2 XLT ที่เช็คระยะทุก 15,000 กม. และ CHEVROLET Colorado 2.5 ที่เช็คระยะทุก 20,000 กม.)

- อีโคคาร์ก็น่าสน เพราะคล่องตัว ประหยัดเชื้อเพลิง หาที่จอดง่ายครับ (แต่ผมว่าเพิ่มอีกนิดเล่น FORD Fiesta 1.6 ดีกว่าครับ ทั้งสมรรถนะ ความปลอดภัย และความประหยัด)