เอามะพร้าวห้าวมาขายสวน(อีกที) ต้อนรับภาษีรถยนต์ปี 2559
avatar
ประพันธ์


EGR คืออะไร ? ทำไมต้องอุด ?

ที่มา : https://www.facebook.com/littlegiantbybankholset/posts/640409985982899

 

EGR (exhaust Gas Recirculation) ใช้เพื่อการลด NOx (nitrous oxides) ซึ่งเป็นแก๊สพิษ.

NOx เกิดจากการที่ ไนโตรเจน กับออกซิเจนในอากาศ มาคลุกเคล้ารวมตัวกันแล้วเกิดการเผาไหม้ในลูกสูบ โดยช่วงของอุณหภูมิการเผาไหม้สูงกว่า 1,800 C(3,300 F)

วิธีการคือ กล่อง ECU จะรับข้อมูลมาจากเซนเซอร์ต่างๆ ทั้ง อุณหภูมิแก๊สไอเสีย ส่วนผสมหนาบาง และอื่นๆอีก แล้วมาประมวลผล ซึ่งถ้า ECU ตรวจพบว่าสภาวะการเผาไหม้อาจก่อให้เกิด NOx ได้ ก็จะส่งสัญญาณไปสั่งให้ EGR วาล์วเปิด เพื่อให้แก๊สไอเสียบางส่วนไหลกลับเข้าไปเผาไหม้ซ้ำอีกครั้ง (คล้ายๆกับการลดประสิทธ์ภาพทางความร้อนจากการเผาไหม้ให้ลดลง) เพื่อไม่ให้อุณหภูมิในการเผาไหม้สูงเกินจุดเปลี่ยน...

ดังนั้นใน บางจังหวะที่วาล์วมีการเปิดมาก หรือ นานเกินไป เพื่อให้แก๊สไอเสียวนกลับไปเผาใหม่อีกครั้งมีมากเกินไป ก็อาจทำให้เกิดควันดำตามออกมาได้...
โดยเฉพาะรถที่วิ่งช้าๆ แต่ใช้รอบเครื่องต่ำ(ลากเกียร์สูง)นานๆ อย่างในกรณีคล้ายๆรถสองแถว จะทำให้อุณหภูมิในการเผาไหม้สูงอย่างต่อเนื่อง วาล์วก็จะเปิดนาน ทำให้เกิดควันดำมากขึ้น แล้วเกิดการสะสมของเขม่า ตามจุดต่างๆในระบบ...

วิธี การแก้ไขอย่างง่าย...ทำการเร่งเครื่องให้รอบสูงๆ คล้ายๆการเบิ้ลเครื่องเล่น แต่ลากยาวๆหน่อยนึงเพื่อให้เกิดการไล่เขม่าและไอเสียเดิมออกไป..
อีกวิธีคือการเข้าศูนย์บริการ ให้ดำเนินการแก้ไขโปรแกรม ECU ใหม่...

การ อุด EGR วาล์ว ไม่ใช่วิธีที่ถุกต้องในเชิงวิชาการ(หรือเชิงวิทยาศาตร์) เพราะจะทำให้ประสิทธิภาพในการกำจัดไอพิษจากแก๊ส ด้อยลง เป็นการเพิ่มหรือเร่งการทำลายสภาวะแวดล้อมโลกเพิ่มขึ้นอีกทางนึงด้วย....
ท่านอาจคิดว่า...เราอุดแค่คันเดียวมันจะกระทบสักเท่าไหร่กัน...
ท่านลองไปยืนท้ายรถที่จอดติดเครื่อง แล้วถามใจท่านดูว่ารู้สึกอย่างไร.
แล้วรถยนต์ในกทม. มีเป็นสิบล้านคัน ถ้าทำอย่างนี้แค่ 5เปอร์เซนต์(ประมาณ 5แสนคัน) ท่านคิดว่าสภาวะแวดล้อมจะเป็นอย่างไร....
ทุกอย่าง อาจไม่เห็นผลกับตัวเราในวันนี้.....แต่แน่ใจหรื ว่าอยากให้ลูกหลานเราในอนาคต ต้องมารับผลกระทบจากสิ่งเหล่านี้....................

ท่านยอมเสีย ประสิทธิภาพของรถยนต์ลงสัก2-3เปอร์เซนเพื่อแลกกับสิ่งดีให้ลูกหลานในอนาคต หรือท่านอยากได้ความแรงความมันเพิ่มอีกสัก 2-3 เปอร์เซนต์โดยยอมแลกสิ่งดีๆในอนาคตของลูกหลานทิ้งไป....(เพราะเราอาจไม่ได้ อยู่ร่วรับชะตากรรมร้ายกับเขาก็ได้จะไปสนใจทำไมล่ะ...ก็แล้วแต่ศรัทธา ครับ....)

ที่ผ่านมาได้มีการคิดค้นวิธีในการลดมลพิษต่างๆ วิธีหนึ่งคือการใช้ระบบหมุนเวียนไอเสีย Exhaust Gas Recirculation (EGR) ซึ่งในครั้งแรกการใช้ EGR ก็เพื่อจะนำความร้อนจากไอเสียเวียนกลับเข้ามาในเครื่องยนต์ ช่วยให้อุณหภูมิของไอดีสูงขึ้นในกระบวนการเผาไหม้ จึงเป็นการประหยัดพลังงาน แต่ประโยชน์ที่ได้รับเพิ่มเติมก็คือสามารถลดออกไซด์ของไนโตรเจน (NOX) ได้ด้วยซึ่งก๊าซนี้เป็นอันตรายต่อปอดและระบบทางเดินหายใจของมนุษย์ ในปี ค.ศ.2002 ที่ผ่านมา หน่วยงานด้านสิ่งแวดล้อมของประเทศสหรัฐอเมริกา US Environmental Protection Agency หรือ EPA ได้กำหนดให้ลด NO X ลงอีก 50 % จากมาตรฐานปี ค.ศ 1998 ( จาก 4.0 เป็น 2.0 g / Break Horse -hr.) และ มาตรฐานมลพิษของประเทศอื่นๆ ก็มีแนวโน้มในการลด NO X มากขึ้น จึงทำให้ผู้ผลิตเครื่องยนต์ดีเซลส่วนใหญ่จำเป็นต้องติดตั้งระบบ EGR มากขึ้น แต่ระบบ EGR มีข้อเสียคือความร้อนและสิ่งสกปรกที่เวียนกลับมากับไอเสีย ทำให้เครื่องยนต์มีคราบเขม่าเกาะจับ และน้ำมันเครื่องมีอุณหภูมิสูงขึ้นจึงเสื่อมสภาพเร็ว อีกทั้งมีธาตุกำมะถันและไนโตรเจนเป็นองค์ประกอบอยู่บางส่วน ทำให้แปรสภาพเป็นกรด เกิดสนิมและเครื่องยนต์สึกหรอมากขึ้น ดังนั้นน้ำมันเครื่องที่ใช้กับเครื่องยนต์ดีเซลที่ติดตั้ง EGR นี้จะต้องมีความคงทน และ คุณสมบัติพิเศษในการกำจัดสิ่งสกปรก กรดหรือป้องกันสนิมได้ดียิ่งขึ้น



ผู้ตั้งกระทู้ ประพันธ์ :: วันที่ลงประกาศ 2015-07-12 07:38:08 IP : 101.51.146.148


1

ความคิดเห็นที่ 4 (3405152)
avatar
ขจกท

 ขึ้นราคา ก็ปล่อยไป ยอดขายอื่ดก็ลดราคาลงมาเอง 

ผู้แสดงความคิดเห็น ขจกท วันที่ตอบ 2015-07-18 13:40:41 IP : 203.146.189.95


ความคิดเห็นที่ 3 (3404953)
avatar
ประพันธ์

 มากไหมครับ (กดส่งความเห็นก่อน พิมพ์ข้อความยังไม่ครบ อิอิอิ)

ผู้แสดงความคิดเห็น ประพันธ์ วันที่ตอบ 2015-07-12 09:50:56 IP : 101.51.146.148


ความคิดเห็นที่ 2 (3404949)
avatar
ประพันธ์

ผมเลยมีข้อสงสัยเกิดขึ้นว่า

- egr มีผลต่อการปล่อย Co2 ไหมครับ

- ถ้ามีผล รถของคนที่อุด egr ต้องปล่อย co2 มากกว่า รถของคนที่ไม่อุด egr

ผู้แสดงความคิดเห็น ประพันธ์ วันที่ตอบ 2015-07-12 07:48:36 IP : 101.51.146.148


ความคิดเห็นที่ 1 (3404948)
avatar
ประพันธ์

ภาษีรถยนต์ 2559 ที่ควรรู้

ที่มา : http://car250.com/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%B5%E0%B8%A3%E0%B8%96%E0%B8%A2%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%8C-2559-%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B8%84%E0%B8%A7%E0%B8%A3%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B9%89.html

ในช่วงปี 2557-2558 สังเกตได้ง่ายๆเลยทีว่ามีรถยนต์เปิดตัวมากมายและต่างมอบแคมเปญ – ข้อเสนอพิเศษ เพื่อกระตุ้นยอดขายให้ได้มากทุกสุด ้เพราะในปี 2559 จะมีการปรับอัตราภาษีสรรพสามิตใหม่ ซึ่งจะทำให้รถยนต์ราคาถูก หรือ แพงขึ้น ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขต่างๆ

 
 
สาเหตุของการปรับภาษีใหม่เนื่องจากโครงการรถคันแรก ทำให้ใครๆอยากได้รถเพราะราคาปรับลด และแน่นอนว่ามันทำให้สรรพสามิต เสียรายได้จากการเก็บภาษีรถยนต์มากเลยทีเดียว

เกริ่นมาซะยาวเหยียด เรามาเข้าเรื่องกันเลยนะครับ เกี่ยวกับรายละเอียดอัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ที่มีผลบังคับใช้ต้นปี59 ที่เค้าแบ่งเป็น 8 กลุ่มรถยนต์ และซอยย่อยลงไปในแต่ละกลุ่ม ตามปริมาณการปล่อยไอเสียของเครื่องยนต์ มาดูรายละเอียดกันเลยครับ

1. รถยนต์นั่ง และรถยนต์โดยสารที่มีที่นั่งไม่เกิน 10 คน ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี

– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 40% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)

2. รถยนต์นั่งประเภทอี 85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี

– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซ 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30% (เดิมจัดเก็บภาษี 25%)
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 35% (เดิมจัดเก็บภาษี 30%)

3. รถยนต์แบบผสมที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงและไฟฟ้า ที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 10%)

– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 10%
– ปล่อยก๊าซเกิน 100-150 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 20%
– ปล่อยก๊าซเกิน 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30%

4. รถยนต์ Eco Car (เดิมจัดเก็บภาษี 17%)

– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร และใช้น้ำมัน E85 ได้ จัดเก็บภาษี 12%
– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 100 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 14%
– ปล่อยก๊าซเกิน 100-120 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 17%

5. รถยนต์กระบะที่ไม่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)

– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 3%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 5%

6. รถยนต์กระบะที่มีพื้นใส่สัมภาระด้านหลังคนขับ มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 3%)

– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 5%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 7%

7. รถยนต์นั่งที่มีกระบะ (ดับเบิ้ลแคป) มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 12%)

– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 12%
– ปล่อยก๊าซเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 15%

8. รถยนต์นั่งกึ่งบรรทุก มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,250 ซีซี (เดิมจัดเก็บภาษี 20%)

– ปล่อยก๊าซไม่เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 25%
– ปล่อยก๊าซฯเกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร จัดเก็บภาษี 30%

ผู้แสดงความคิดเห็น ประพันธ์ วันที่ตอบ 2015-07-12 07:43:34 IP : 101.51.146.148



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.