สวัสดีครับอาจารย์พัฒนเดช
 
ผมขอความช่วยเหลือเกี่ยวกับรายละเอียดซ่อมรถ หน่อยครับ

ผมใช้รถ โตโยต้า (หน้ายิ้ม) ปี 1991 รุ่น ST171 เครื่องยนต์ 3S (2000 cc.) เกียร์ออโต้

ขอเริ่มเล่าเรื่องราวก่อนดังนีครับ

เกิดเหตุครั้งแรก วันที่ 10 ก.ค. 53 เวลาประมาณ 22:00 น. รถเกิดเสียงดังในเครื่อง เหมือนมีอะไรตีอยู่ด้านใน (เส้นทางวิ่งจากห้าแยกปากเกร็ดมาถึงหน้า TOT แจ้งวัฒนะ ก่อนข้ามสะพานหลักสี่ ข้ามทางรถไฟ) วิ่งมาแล้วเครื่องดับ แต่ไฟยังติดอยู่ ไม่สามารถสตาร์ทเครื่องได้ เนื่องจากไฟไม่พอ ได้มีรถแท็กซี่มาพ่วงแบตเตอรี่ให้ พอสตาร์ทติด เกิดเสียงดังในเครื่องยนต์ และมีน้ำไหลออกด้านล่างจำนวนมาก จึงดับเครื่องและแจ้งให้รถยกมาลากไปที่อู่ซ่อมรถเจ้าประจำ ชื่อ "อู่ช่างต้อง" (ซอยพหลโยธิน 48)
 
     ทางอู่ได้ตรวจสอบวันรุ่งขึ้นและแจ้งให้ทราบว่า ช๊าปละลาย เนื่องจากน้ำมันเครื่องขาด จึงทำการซ่อมตามรายการดังนี้
1. เจียรบ่าวาลว์ - เจียรวาลว์
    บดประกอบ-ตั้งวาลว์             จำนวน 1 ฝา
2. ใสฝาสูบ - ใส่ยางหมวกวาลว์  จำนวน 1 ฝา
              รวมเป็นเงิน (1+2)              3,800 บาท
3. ปรับก้านสูบ 4 ตัว     รวมเงิน             400 บาท
4. น้ำมันเครื่อง 1 ก.ล.  รวมเงิน              530 บาท
5. กรองเครื่อง 1 ล.      รวมเงิน              100 บาท
6. กาวดำ 1 ล.            รวมเงิน               100 บาท
7. ประเก็นฝาสูบ 1 แผ่น รวมเงิน          1,250 บาท
8. ยางอุดตาน้ำ   6 ตัว   รวมเงิน             360 บาท
9. ช๊าปก้าน 1 ชุด          รวมเงิน             850 บาท
10. แหวนลูกสูบ 1 ชุด   รวมเงิน           1,650 บาท
11. ประเก็นไอดี-ไอเสีย 1 ชุด รวมเงิน      150 บาท
12. ค่าแรงประกอบเครื่อง        รวมเงิน   4,000 บาท
 
                     รวมเงินทั้งสิ้น               13,190 บาท
 
ในวันที่ไปรับรถ (30 ก.ค. 53) ช่างแจ้งว่าแบตเตอรี่มีปัญหา เครื่องสตาร์ทติดยาก ไปลองหลายครั้งแล้วต้องไปพ่วงแบตฯจึงจะสตาร์ทติดได้ เสนอว่าควรเคลมแบตเตอรี่ใหม่เนื่องจากยังอยู่ในระยะเวลารับประกัน 1 ปี
 
หลังจากรับรถไปแล้ว ยังมีเสียงดังอยู่เมื่อมีการเร่งเครื่อง ช่างแจ้งว่าไม่ได้ซ่อมใหม่ทั้งหมด ซ่อมเป็นจุดเท่านั้น เพื่อประหยัดค่าใช้จ่าย จึงจะมีเสียงดังอยู่บ้างแต่สามารถใช้งานได้ปกติโดยอย่าปล่อยให้น้ำมันเครื่องแห้ง หรือน้ำในหม้อน้ำแห้ง
 
     ในวันอาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 53 ช่วงเช้ารถสต๊าทไม่ติด จึงโทรฯแจ้งช่างต้อง ได้รับแจ้งว่าให้ติดต่อที่ร้านที่ซื้อแบตฯเพื่อขอเคลมแบตฯใหม่ จึงให้ร้านแบตฯมาดูปรากฎว่า สามารถสต๊าทติดได้ ทางร้านแบตฯแจ้งว่าแบตเตอรี่ไม่เสีย แต่พบว่าไดสต๊าท ค้าง ต้องเปลี่ยนตัวรีเรย์ใหม่จึงจะไม่ทำให้ไดสต๊าทค้าง และนำแบตเตอรี่ไปช๊าทไฟเพิ่มเติม ช่วงบ่าย 2 โมง จึงนำแบตเตอรี่มาคืน แต่เมื่อนำรถไปใช้ในวันเดียวกันก็ยังสต๊าทติดยากอยู่จึงแจ้งไปที่อู่ช่างต้อง ทางอู่ให้นำรถไปตรวจสอบอีกครั้งเรื่องไดสต๊าทค้าง จึงนำรถกลับเข้าไปให้ที่อู่ในวันอาทิตย์ที่ 1 ส.ค. 53 เวลา 20:00 น.
 
วันที่ 3 ส.ค. 53 ทางอู่แจ้งว่าได้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าแล้วปกติ แต่แบตเตอรี่เก็บไฟไม่อยู่ต้องเปลี่ยนแบตเตอรี่ใหม่ จึงให้เปลี่ยนแบตฯใหม่ และไปรับรถในวันที่ 5 ส.ค. 53 โดยจ่ายค่าแบตเตอรี่ไป 2,100 บาท
 
วันเสาร์ที่ 7 ส.ค. 53 ได้นำรถไปที่บ้านนนทบุรี(ซอยทรายทองตรงข้ามซอยสามัคคี) ช่วงหกโมงเย็น เดินทางกลับจากนนทบุรีเพื่อไปลำลูกกาคลองสี่ ใช้เส้นทางถนนแจ้งวัฒนะ ปรากฏว่ามีรูปไฟแสดงแบตเตอรี่ที่หน้าปัทแสดงขึึ้นมา จึงโทรฯแจ้งอู่ช่างต้อง ช่างจึงให้นำรถไปตรวจสอบอีกครั้งโดยเกรงว่าไดช๊าทจะเสีย จึงได้นำรถเข้าซ่อมที่อู่ในเย็นวันอาทิตย์นั้น
 
วันที่ 10 ส.ค. 53 ทางอู่แจ้งว่าได้ตรวจสอบระบบไฟฟ้าแล้วปกติแต่ไดช๊าทมีไฟเกินสูงบ้าง หรือไฟต่ำบ้างกระแสไฟไม่สม่ำเสมอ จึงทำการล้างไดช๊าทให้ใหม่ (300 บาท) ผมจึงนำรถกลับบ้านในเย็นวันนั้น
 
วันที่ 12 ส.ค. 53 ขับรถไปที่บ้านนนทบุรี(ซอยทรายทองตรงข้ามซอยสามัคคี)ในช่วงบ่าย 2 โมง และจอดทิ้งไว้ที่บ้านไม่ได้ออกไปไหน และขับกลับบ้านที่ลำลูกกาช่วง 19:00 น.ใช้ความเร็ว 90 - 100 ก.ม.ต่อชั่วโมงโดยประมาณ(วันนี้เหตุการณ์ปกติ)
 
วันที่ 13 ส.ค. 53 นำรถไปทำงานที่สมุทรปราการด้วย (ใช้รถวันแรกเพื่อเดินทางไกล) ขับโดยใช้ความเร็วไม่เกิน 100 ก.ม.ต่อชั่วโมง(เพราะรถเพิ่งซ่อมเสร็จ) ขากลับจากทำงาน เวลาประมาณ 18:30 น. ช่วงขึ้นทางด่วนสุขสวัสดิ์มาแล้ว  ก่อนจะขึ้นสะพานแขวน(พระราม 9) ขับออกจากด่านจ่ายเงินและเร่งเครื่องโดยใช้ความเร็ว 70 ก.ม.ต่อชั่วโมง ปรากฎว่า มีเสียงดังเหมือนอะไรหลุดออกจากเครื่องด้านหน้า และเกิดควันในห้องเครื่องฟุ้งเต็มไปหมด จึงจอดรถลงข้างทางเปิดฝากระโปรงรถดู ปรากฎว่าน้ำมันเครื่องกระเด็นกระจายเต็มห้องเครื่องมีควันฟุ้งเต็มไปหมด จึงเดินตรวจสอบย้อนกลับไปตามถนนพบว่ามีเศษแหวนลูกสูบหักอยู่ 1 อัน มีรอยน้ำมันเครื่องไหลเป็นทางยาวจากจุดที่มีเสียงดังจนถึงจุดที่รถจอด จึงโทรฯแจ้งทางอู่ให้ทราบ (ทางช่างหัวเราะและบอกว่าให้ลากรถมาดู) จึงโทรฯไปขอให้ศูนย์ช่วยเหลือบนทางด่วนแจ้งนำรถยกมายกรถ (ค่าลากรถ 1,500 บาท)
 
          เวลา 21:00 น. โดยประมาณ จึงลากรถมาถึงอู่ ช่างต้องถามว่า เกิดอาการอะไร ผมจึงได้นำเศษแหวนลูกสูบให้ดู ช่างต้องจึงถามว่าน้ำมันเครื่องแห้งหรือเปล่า น้ำในหม้อน้ำแห้งหรือเปล่า (ผมได้ตอบไปว่า ก่อนใช้รถทั้งเช้าและเย็นได้ตรวจสอบตลอดทุกครั้งทุกวัน เพราะช่างบอกให้ตรวจสอบไม่ให้น้ำมันเครื่อง หรือหม้อน้ำแห้ง) ช่างต้องบอกว่าตอนซ่อมเสร็จเอาไปลองแล้วไม่มีปัญหาอะไร  ตอนอยู่กับที่อู่และตอนมารับรถก็ไม่มีปัญหาอะไร   และแจ้งว่าเครื่องมันเก่า ที่ซ่อมไปก็ซ่อมตามสภาพไม่ได้เกี่ยวกับอาการทีเสียครั้งนี้ และเสนอให้เปลี่ยนเครืองใหม่ โดยบอกว่าครั้งนี้น่าจะเกิดจากช๊าปละลายก่อน จึงทำให้แหวนลูกสูบหลวมตีกับตัวเครื่องจนหัก เพราะความร้อนในห้องเครื่องมีมาก
       แต่ผมได้แจ้งให้ทางช่างช่วยตรวจสอบดูก่อนว่าปัญหาเกิดจากอะไร เพราะก่อนที่เครื่องจะเสียครั้งนี้ มีเสียงดังเหมือนครั้งก่อนที่เสีย แต่ครั้งนี้อาการเสียหนักว่าครั้งก่อนมาก เพราะทำให้แหวนลูกสูบหัก ซึ่งกระเด็นออกมาจากตัวเครื่องด้านใน
 
วันที่ 14 ส.ค. 53 อู่ช่างต้องโทรฯแจ้งว่า ได้ตรวจสอบแล้วที่เครื่องเสียครั้งนี้เป็นสาเหตุใหม่ คือตัวฉีดน้ำมันเครื่องที่อยู่หน้าเครื่องไม่ทำงาน ซึ่งตัวฉีดน้ำมันเครื่องนี้ปกติจะไม่ไปยุ่งหรือไปตรวจสอบ ที่ซ่อมไปแล้วได้เปลี่ยนช๊าปเท่านั้นเอง      แต่ผมแจ้งว่า อาการที่เสียทั้งสองครั้งเป็นอาการเดียวกัน คือช๊าปละลาย ควรจะมีการตรวจสอบปัญหาเรื่องน้ำมันเครื่่องแห้งด้วย ซึ่งช่างแจ้งว่าได้ตรวจสอบแล้วพบว่าน้ำมันเครื่องในห้องเครื่องแห้งจึงทำให้ช๊าปละลายจึงทำการเปลี่ยนช๊าปใหม่เท่านั้น แต่ครั้งนี้เกิดจากตัวฉีดน้ำมัันเครื่องไม่ทำงานเป็นสาเหตุใหม่ ไม่เกี่ยวกับครั้งก่อน เสนอแนวทางในการซ่อมคือเปลี่ยนฝาท้ายเครื่องใหม่ หรือเปลี่ยนเครื่องใหม่ เพราะตัวเครื่องเดิมแตกเสียหายมาก   โดยผมต้องเสียค่าใช้จ่ายเองทั้งหมด ส่วนค่าแรงจะลดให้
 
          ผมได้แจ้งให้ช่างต้องทราบว่า มันรับไม่ได้ เป็นใครก็รับไม่ได้ เพราะเพิ่งจ่ายเงินซ่อมรถไป 15,000 บาท แต่รถยังไม่ทันได้ใช้เลยต้องมาเสียค่าเปลี่ยนเครื่องอีก 18,000 บาท โดยสาเหตุที่เครื่องพังทั้งสองครั้งคือ ช๊าปละลาย เพราะไม่มีน้้ำมันเครื่องในห้องเครื่อง ทางช่างต้อง  จะช่วยเหลืออย่างไรในเรื่องค่าใช้จ่ายเพราะไม่มีเงินซ่อมแล้ว ซึ่งทางช่างแจ้งว่าครั้งนี้กับที่ซ่อมก่อนหน้านี้เป็นคนละสาเหตุกัน ถ้าจะซ่อมต้องจ่ายค่าอะไหล่เอง   ผมจึงแจ้งให้ช่างต้องทราบว่า คงรับไม่ได้ ก็ขอให้ช่างทำใจด้วย หากต้องมีการดำเนินการตามกฎหมาย ซึ่งช่างแจ้งว่าซ่อมตามปกติตามอาการถูกต้องแล้ว
 
(สรุปตอนนี้ยังไม่ได้ซ่อม และที่เล่ามายืดยาวก็เพราะต้องการบอกให้ทราบว่า รถไม่ได้ใช้เท่าไรเลยครับ)
 
จึงขอแรงช่วยคิดหน่อยครับว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี หรือควรร้องเรียนที่ สคบ.ก่อน
 
ขอบคุณล่วงหน้าครับ
 
ชัยรัฐ นาพรม

มือถือ 0813460588

อีเมล์ chairath.np@gmail.com