|
c-class เบนซิน กะ ดีเซล | |
เบ๊นซ์มาเนีย | กำลังตัดสินใจจะซื้อตัวดีเซล เพราะแรงม้า แรงบิดมหาศาล และประหยัดน้ำมันและค่าดูแลรักษา พอไปดูราคา ตัวเบนซินรุ่นธรรมดา(รุ่นล่างสุด) ราคาต่างกันตั้ง 600,000 บาท เลยคิดหนัก 6 แสนเติมเบนซินได้เป็นชาติเลย วัน ๆ ใช้รถในกรุงเทพไม่เกิน 100 โล ที่สำคัญรถผมไม่เน้นอุปกรณ์อำนวยความสะดวกครับ เพราะไม่เคยได้ใช้เลยจริง ๆ แถมเกลียดไอ้เจ้าdvd อีกต่างหาก ส่วนตัวคิดว่ารถมีแอร์ พวกมาลัยเพาเวอร์ กระจกหน้าต่างไฟฟ้า cd ก็เกินพอแล้วครับ รบกวนช่วยกันออกความเห็นหน่อยครับว่าจะเลือกตัวไหนดี ตัดสินใจแล้วว่าจะซื้อยี่ห้อนี้ และรุ่นนี้ (ไม่เอา bmw นะ มีความหลังที่ไม่ประทับใจกับอาการจุกจิกตั้งแต่ป้ายแดง โดยเฉพาะไฟ engine โชว์ ฯลฯ ทำให้รู้สึกเหมือนไม่ได้ขับรถใหม่ ทั้งที่ป้ายแดงอยู่เลย) |
ผู้ตั้งกระทู้ เบ๊นซ์มาเนีย :: วันที่ลงประกาศ 2010-10-30 05:40:29 IP : 124.120.77.249 |
1 |
ความคิดเห็นที่ 9 (4203260) | |
กิ๊ฟ | สวัสดีค่ะสอบถามท่านอาจารย์ทุกท่านเกี่ยวกับรถ C Class 200 CDI กับ C Class C180 เบนซิน ถ้ารถอยู่ในช่วงปี 06 ถึง08 ตัวไหนน่าใช้กว่ากันใจจริงอยากได้ดีเซลค่ะแต่ซื้อมือสองอายุรถ 13 ปีกลัวดีเซลมีปัญหาค่ะ ค่าซ่อมตามหลังคงจะไม่น้อยเดี๋ยวจะเทอร์โบเดี๋ยวจะเครื่อง
รบกวนท่านอาจารย์ทุกท่านตอบคำถามด้วยนะคะ |
ผู้แสดงความคิดเห็น กิ๊ฟ (the-dot-fefee-at-gmail-dot-com)วันที่ตอบ 2020-08-13 12:27:59 IP : 1.47.133.145 |
ความคิดเห็นที่ 8 (3257435) | |
benzowner | ฟันธง เครื่องยนต์ดีเซล แล้วไปเติม วีพาวเวอร์ดีเซลครับ เวลาเข้าปั้มต้องลงไปคุมเด้กปั้มดีๆ ระวังเค้าเติมผิดแค่นี้ก็พอครับ ราคาดีเซลรัฐบาลไม่กล้าขึ้นมากเพราะประชาชนต้องใช้ขนส่งดีเซลเป็นหลัก แต่ก้ไม่แน่เพราะรถของรัฐบาลเปลี่ยนมาใช้ NGV กันส่วนใหญ่แล้ว |
ผู้แสดงความคิดเห็น benzowner วันที่ตอบ 2010-11-01 08:30:27 IP : 161.200.105.43 |
ความคิดเห็นที่ 7 (3257355) | |
คนว่างวันอาทิตย์ช่วยตอบ | ขอบคุณมากครับสำหรับคุณเบนซ์มาเนี่ยที่ชอบคำตอบ อีกอย่างหนึ่งที่อยากจะพูดเกี่ยวกับเครื่องดีเซลก็คือ เนื่องจากกำลังอัดของเครื่องดีเซลมีสูงมากกว่าเครื่องยนต์เบนซินมากตามที่ความเห็นที่ 5 พูดเอาไว้ จริง ดังนั้นต้นทุนในการผลิตเครื่องยนต์เพื่อให้มีความแข็งแรงมากกว่านี้ จึงเป้นสาเหตุให้เครื่องยนต์ดีเซลมีต้นทุนในการผลิตที่สูงกว่าเครื่องยนต์เบนซินมาก ดังนั้น ให้สังเกตดูว่ารถที่ติดตั้งเครื่องยนต์ดีเซลจึงเป็นรถที่มีราคาสูงแทบทั้งสิ้น เพราะเครื่องยนต์ดีเซลไม่ได้รับส่วนลดทางภาษีทั้งๆที่มันก็ช่วยลดการสิ้นเปลืองในด้านการดูแลรักษา ลดการสิ้นเปลืองเชื้อเพลิง มลภาวะเครื่องดีเซลในยุคปัจจุบันต่ำ ไม่เหมือนกับเครื่อง็ยนต์ดีเซลที่เคยติดในรถเมล์หรือรถสิบล้อที่เร่งทีมองไม่เห็นรถตามหลังเพราะควันดำมากๆ แต่ภาครัฐไปลดภาษีให้กับเทคโนโลยี่ใหม่คือ Hybrid ซึ่งเป็นเหตุผลที่ทางบริษัทรถญี่ปุ่นเห็นว่าเป็นหนทางที่จะทำให้อัตราการสิ้นเปลืองของรถของเขาโดยเฉพาะเวลาวิ่งในเมืองจะประหยัดเพิ่มขึ้น และอ้างว่าจะช่วยลดมลพิษในเมือง แต่ในความเป็นจริงคือ แบตเตอรี่ที่รถ Hybrid ใช้นั้น จะต้องถูกถอดเปลี่ยนโดยผู้แทนจำหน่ายรถเท่านั้น เพราะต้องทำการเปลี่ยนในระดับโรงงานถึงจะทำได้ และตัวแบตเตอรี่หลังจากที่ถูกถอดออกมาจะต้องนำไปทำลายในโรงงานที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อการทำลายแบตเตอรี่ชนิดนี้โดยเฉพาะเท่านั้น จะไปวางกองไว้ที่ไหมไม่ได้เป้นอันขาดเพราะอันตรายและเป็นพิษต่อมลภาวะมากครับ ถามว่าแล้วในอนาคตเบนซ์และบีเอ็มจะผลิตรถที่ใช้ Hybrid บ้างไหม ตอบว่าแน่นอน เพราะผู้ผลิตรถที่ฉลาดจะต้องพัฒนาสินค้าให้ตอบโจทย์ให้กับลูกค้าที่มีความต้องการที่แตกต่างกันและสามารถใช้สิทธิทางภาษีมาผลิตสินค้าให้มีราคาที่ต่ำลงได้ ซึ่งถ้าเขาทำจริง เราก็อาจจะได้เห็นเบนซ์หรือบีเอ็ม Hybrid กันบ้างละครับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น คนว่างวันอาทิตย์ช่วยตอบ วันที่ตอบ 2010-10-31 07:36:55 IP : 58.8.124.115 |
ความคิดเห็นที่ 6 (3257330) | |
เบ๊นซ์มาเนีย | สุดยอดครับคุณคนว่างวันอาทิตย์ช่วยตอบ ตอบสมกับฉายาจริง ๆ (แสดงว่าวันเสาร์ก็ว่างถึงได้ตอบละเอียดอย่างนี้) ขอบคุณมาก ๆ ถึงมากที่สุดเลยครับ และขออนุญาต save ไว้เป็นความรู้นะครับ เพราะเท่าที่รู้มาก็แค่เครื่องดีเซลขึ้นเขาหรือปีนป่ายได้ดีกว่าเพราะมีแรงบิดมากกว่า และมากกว่ามาก ๆ ด้วย ส่วนเรื่องเสียงดังผมไม่สนอยู่แล้วเพราะผมนั่งอยู่ในรถ ย่อมได้ยินเสียงเครื่องยนต์น้อยกว่าอยู่ข้างนอกรถอยู่แล้ว และที่สำคัญผมไม่ได้ซื้อมาเพื่อฟังเสียงเครื่องยนต์ตอนอยู่นอกรถครับ อีกอย่างผมก็เคยนั่งรถกระบะของเพื่อนๆ ครบทุกยี่ห้อ ซึ่งห้องโดยสารก็เงียบกว่ารถรุ่นเก่าๆ อย่างเห็นได้ชัด ชัดจนผมต้องเปลี่ยนทัศนคติต่อเครื่องดีเซล และที่ผมตัดสินใจซื้อ c-class ก็ด้วยเหตุผลจากผู้รู้ผู้ทดสอบทั้งหลายว่าถ้าเทียบกิโลเมตรต่อกิโลเมตร ดีเซลจะประหยัดกว่าเบนซินจนไม่เห็นฝุ่นเลย เคยได้ยินมาว่ามีคนขับไปเชียงใหม่ใช้น้ำมันเพียงถังเดียว หรือถังกว่าๆ นิดเดียว ขับไม่เกิน 120 นะ ก็แสดงว่า 1 ถังขับได้ประมาณ 6-700 กม.หากเป็นเช่นนี้จริง เบนซินเทียบไม่ติดแน่ ๆ เพราะผมเคยขับวีออสไปเชียงใหม่ ถึงนครสวรรค์หมดไปครึ่งถังแล้วครับ แม้ถังน้ำมันกว่าจะเล็กกว่า c-class แต่ตัวถังก็เล็กและเบากว่าหลายเท่าเช่นกัน ส่วนเรื่อง o/h เครื่องอีก 5 ปีค่อยกว่ากันอีกที ตอนนั้นจะขับถึง 1 แสนโลหรือเปล่ายังไม่รู้เลย เพราะคำว่าวันละไม่เกิน 100 กิโลเมตรของผมเป็นค่าเฉลี่ยเท่านั้น ไม่ใช่จะใช้ทุกวัน บางครั้งจอดอยู่บ้านเป็นอาทิตย์ก็มี กรณีนั่งเครื่องไปแทน ขอบคุณอีกครั้งครับที่ทำให้ผมตัดสินใจง่ายขึ้น แต่ตอนนี้ได้เวลาไปงานเลี้ยงแล้วครับ ขอไปตอบคำถามให้สะใจก่อน ไปละ bye bye |
ผู้แสดงความคิดเห็น เบ๊นซ์มาเนีย วันที่ตอบ 2010-10-30 18:56:51 IP : 110.168.91.39 |
ความคิดเห็นที่ 5 (3257329) | |
ชาว CK | เครื่องดีเซลต่างกับเครื่องเบนซินตรงที่ 1เครื่องดีเซลมีกำลังอัดมากกว่า(ดีเซลราวๆ 17-18:1) เสียงเครื่องยนต์ดีเซลดังกว่าแม้จะเป็น MB.หรือ BMW ก็ตาม 2 เครื่องดีเซลไม่มีคอยล์จุดระเบิด แต่เบนซินมี สรุปที่ต่างกันคือเครื่องเบนซินมีหัวเทียน เครื่องดีเซลไม่มีหัวเทียน นอกนั้นเหมือนๆกัน ส่วนที่เห็นว่าเครื่องดีเซลมีแรงบิดมากกว่าก็จริงแต่ไม่ใช่ว่าอัตราเร่งมันจะออกตัวได้เร็วกว่าเครื่องเบนซินนะครับ ผมเคยอ่านบททดสอบรถ BMW เครื่องดีเซลจะมีแรงม้าน้อยกว่าแต่มีแรงบิดมากกว่าเท่าตัว ส่วนเครื่องเบนซินมีแรงม้ามากกว่าแต่มีแรงบิดน้อยกว่า เป็นเครื่องยนต์ 3,000 ซีซี มีเทอร์โบทั้งคู่ ผลทดสอบอัตราเร่ง 0-100 กม./ชม. เครื่องเบนซินทำเวลาได้ 6.1วิ เครื่องดีเซลทำเวลาได้ 6.3วิ ครับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น ชาว CK วันที่ตอบ 2010-10-30 18:45:22 IP : 58.8.173.83 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3257307) | |
คนว่างวันอาทิตย์ช่วยตอบ | ข้อดีของเครื่องยนต์เบนซินก็คือเป็นเครื่องที่เงียบ เหมาะกับรถที่ต้องใช้ความเร็วสูง ข้อด้อยคือการสิ้นเปลืองที่สูงกว่าดีเซล รวมไปถึงราคาของน้ำมันดีเซลก็ยังต่ำกว่าราคาของน้ำมันดีเซล น้ำมันดีเซลนั้นมีจำหน่ายทุกหนแห่ง แต่ถ้าคุณเดินทางในประเทศเพื่อนบ้านจะพบปัญหาหลักคือ รถคุณอาจจะไม่เหมาะกับการใช้น้ำมันเบนซินในประเทศของเขานัก ถึงแนะนำมาโดยตลอดว่าถ้าคิดจะเดินทางไปประเทศเพื่อนบ้าน ควรใช้รถดีเซลมากกว่ารถเครื่องเบนซินด้วยเหตุผลดังกล่าว อัตราการเร่งแซงในเมืองหรือรอบต่ำสู้เครื่องดีเซลไม่ได้ เครื่องเบนซินจะทำงานได้ราบเรียบมากกว่าเครื่องยนต์ดีเซล แต่ดีเซลเข้ามามีบทบาทโดยเฉพาะอย่างยิ่งในรถยนต์ราคาแพงเช่นเบนซ์ บีเอ็มดับเบิ้ลยู วอลโว่ และ โฟลค์ฯ ด้วยสาเหตุหลักคือ มันช่วยลดความสิ้นเปลืองลงมาจนทำให้รถของเขาสามารถลงแข่งขันกับรถญี่ปุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่งรถญี่ปุ่นที่หันไปใช้ระบบ Hybrid เครื่องยนต์ดีเซลจะมีแรงบิดในรอบต่ำสูง (แตกต่างจากเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นเก่ามาก) ซึ่งทำให้การเร่งออกตัวในเมืองทำได้คล่องตัวเหมือนหรือดีกว่าเครื่องยนต์เบนซิน การวิ่งขึ้นเขาหรือที่สูงชัน รถที่ใช้เครื่องยนต์ดีเซลสามารถทำได้ดีกว่ารถที่ใช้เครื่องยนต์เบนซิน การดูแลรักษาของเครื่องยนตืดีเซลหลักๆคือเปลี่ยนน้ำมันเครื่องเมื่อครบกำหนด ในขณะที่เครื่องยนต์เบนซินเมื่อครบกำหนด ช่างก็ต้องมาดูแลระบบจุดระเบิดซึ่งปัจจุบันใช้ระบบ Electronic เข้ามาควบคุม ซึ่งต้นเหตุหลักที่สร้างชื่อเสียให้กับรถยี่ห้อดังๆหลายยี่ห้อว่าเปราะคือช่างไม่มีความชำนาญหรือไม่มี Technology ที่จะติดตามซ่อมแซมระบบ Electronic เหล่านี้ แต่เครื่องยนต์ดีเซลถึงแม้นจะมีระบบ Electronic เข้ามาควบคุมการทำงานแล้วก็ตาม แต่มันก็ยังเป็นระบบที่ง่ายต่อการดูแลรักษามากกว่าระบบของเครื่องยนต์เบนซินครับ ปัญหาอีกอย่างหนึ่งที่บ้านเราพบปัญหามากคือบ้านเราจะมีฝนตกเป้นจำนวนมากและถนนในกรุงเทพจะเจ่งนองไปด้วยน้ำ ซึ่งคุณจะเห็นภาพรถเครื่องยนต์เบนซินจอดตายเพราะน้ำเป็นต้นเหตุ แต่เครื่องยนต์ดีเซลสามารถที่จะแล่นผ่านไปได้ ตราบใดที่ไม่มีน้ำเข้าไปในระบบน้ำมัน ถ้าน้ำเข้าไปในระบบน้ำมันเมื่อไร นั่นแหละครับงานใหญ่เข้าและจะแพงมากกว่าการซ่อมคืนสภาพรถเครื่องยนต์ดีเซล สุดท้าย เครื่องยนตืดีเซลถ้าเจ้าของดูแลรักษาเป็น เปลี่ยนน้ำมันเครื่องตามที่กำหนด ไส้กรองอากาศรักษาให้สะอาดอยู่เสมอ ตรวจเช็คระยะห่างของวาล์ตามที่กำหนด เครื่องยนต์ดีเซลจะทนทานต่อการใช้งานได้นับแสนหรืออาจจะถึงหนึ่งล้านกิโลเมตรได้ อย่างสบายๆ ในขระที่เครื่องยนต์เบนซินอาจจะต้องทำการ Overhaul เมื่อเครื่องทำงานครบสามแสนกิโลเมตรเท่านั้นเองครับ เรื่องที่คุณพูดว่าจะเอาไว้ไปคุยเล่นในวงเหล้า เรียนตามตรงว่าจะมีคนกลุ่มหนึ่งที่เขาชอบเครื่องเบนซินและเขาก็จะยึดติดอยู่อย่างนั้น ก็ปล่อยเขาไปเพราะมันเป็นเรื่องความเชื่อของแต่ละคน ไปเปลี่ยนอะไรใครเขาไม่ได้ครับ เพราะเครื่องดีเซลเป็นเครื่องยนต์ทางการพาณิชย์มาเป็นเวลานานอยู่ในรถกะบะเป็นส่วนใหญ่ หลายคนไม่ยอมรับเพราะถือว่ารถเก๋งเครื่องเบนซินเป็นรถที่มีเกรดดีกว่ารถกะบะดีเซลที่ไร้เกรด หนวกขูก็หนวกขู สะเทือนจะตาย แต่ถ้าได้เจอเครื่องดีเซลรุ่นใหม่โดยเฉพาะเครื่องยนต์ดีเซลรุ่นใหม่ที่จะมาลงในกะบะที่จะออกมาจำหน่ายตั้งแต่ปี 2554 นี้เป็นต้นไป เห็นแล้วจะหนาวครับ เอาเป็นน้ำย่อย ต้นปีนี้ให้ดูที่เครื่อง 2.5 ดีเซลตัวใหม่ที่จะติดตั้งในกะบะ Mitsubishi Triton กับ Pajero Sport ตัวใหม่เสียก่อน เห้นแล้วหนาวแน่ครับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น คนว่างวันอาทิตย์ช่วยตอบ วันที่ตอบ 2010-10-30 15:04:02 IP : 58.8.128.176 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3257302) | |
เบ๊นซ์มาเนีย | ความจริงผมก็ติดตามเรื่องเครื่องยนต์เบนซินกับดีเซลมาโดยตลอด แต่ที่สงสัยก็คือคำว่าเครื่องยนต์ไม่จุกจิกเหมือนเครื่องยนต์เบนซิน มันจุกจิกยังไง แล้วดีเซลที่บอกว่าไม่จุกจิกเพราะอะไร เพราะรู้แต่ว่าประหยัดและไม่จุกจุกแค่นั้นเอง รบกวนขอความกระจ่างหน่อยครับ เพราะเพิ่งคุยกับเพื่อตอน 11 โมง โดนเค้าย้อนถามประเด็นข้างต้นกลับตอบว่าเค้าว่ามาอย่างนี้ เลยถูกเพื่อนล้อว่าจะซื้อรถเพราะเชื่อคนใช้(คนสวย)หรือเพราะตัวเองรู้กันแน่ (เล่นเอาฮากันตรีมในวงเหล้าเลย) เดี๋ยวพรุ่งนี้มีงานเลี้ยงอีกงานพอดี จะได้เอาไปคุยโอ้อวดซะหน่อยว่า ข้าก็รู้จริง(แต่คร่าวๆ) ว๊อยยยย |
ผู้แสดงความคิดเห็น เบ๊นซ์มาเนีย วันที่ตอบ 2010-10-30 14:03:34 IP : 124.122.154.77 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3257292) | |
คนว่างวันอาทิตย์ช่วยตอบ | ดีเซลเป็นคำตอบเดียวและคำตอบสุดท้าย |
ผู้แสดงความคิดเห็น คนว่างวันอาทิตย์ช่วยตอบ วันที่ตอบ 2010-10-30 12:30:26 IP : 58.8.128.176 |
ความคิดเห็นที่ 1 (3257268) | |
ต.ตุ้ย | ดีเซล ละครับ หนีปัญหาจุกจิกได้เยอะ...... |
ผู้แสดงความคิดเห็น ต.ตุ้ย วันที่ตอบ 2010-10-30 07:59:49 IP : 124.120.215.142 |
1 |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 4863366 |