เมืองไทยเหมาะกับพลังงานประเภทใด แน่นอนว่าพลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลนั้นเรามีไม่มากพอ

ดังนั้นคำตอบคือพลังงานทดแทนนั่นเอง อยากให้รัฐได้ส่งเสริมจริง ๆ จัง ๆ พูดได้ว่าเป็นวาระแห่งชาติก็น่าจะดี

ผมมองอนาคตที่เมืองไทยจะเป็นที่ 1 ด้าน เชื้อเพลิงทดแทนฟอสซิลได้ โดยเฉพาะไบโอดีเซล เพราะเรื่องเอทานอล

ต้องยกให้บราซิล เรายังมีสิทธิที่จะเป็นที่ 1 ได้หากมีวิสัยทัศน์ ดังนั้นเลือกตั้งสมัยหน้าอย่าลืมเลือกผมนะครับ

ผมว่าการที่ อยากใช้พลังงานทางเลือก หรือ พลังงานไฟฟ้า ก็คงมาจากเหตุผลเดียวก็คือ น้ำมันแพง

ถ้ามันไม่แพงก็คงไม่มองหาอะไรอย่างอื่่น แล้วก็อ้างสิ่งแวดล้อม

(วิธีการเดียวที่ทำให้น้ำมันถูกลงก็คือ ตอนที่คุณกาบัตรเลือกตั้ง หากกาถูกเบอร์ถูกพรรค น้ำมันก็จะถูกครับ...มุขครับ ล้อเล่น)

หากอยากจะใช้พลังงานทางเลือกเร็ว ก็คือ เร่งใช้พลังงานหลักให้หมดไวๆ ครับ อิอิ

สวัสดีครับอาจารย์ ผมขอเสริมนิดหนึ่งคือ ที่ผมพูดว่าประเทศเพื่อนบ้านกำลังมีการปลูกปาล์มเพื่อนำผลผลิตเข้าสู่ตลาด เพราะทุกคนทราบดีว่าความต้องการใช้้นำมันปาล์มเพื่อใช้ในการบริโภคกำลังจะขาดแคลนเพราะปริมาณการบริโภคที่เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากการนำเอาไปใช้ผลิตไบโอดีเซล แต่ที่ผมหมายถึงคือในระยะสั้นเพื่อป้องกันไม่ให้เกิดการขาดแคลนเหมือนในอดีต ซึ่งในอนาคต ในระยะสั้นน่าจะมีน้ำมันปาล์มพอที่จะใช้ได้ทั้งสองอุตสาหกรรม ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นการซื้อเวลาเพื่อให้มีการพัฒนาพันธุ์ไม่ว่าจะเป็นของสบู่ดำ สาหร่ายหรือวัตถุดิบอื่นๆที่สามารถนำมาใช้ในการผลิตไบโอดีเซลได้ เพราะทุกวันนี้ ผลผลิตของสบู่ดำเองก็ยังมีคุณภาพที่ต่ำและกำลังได้รัยการพัฒนาพันธุ์ให้มีคุณสมบัติที่ดีขึ้นกว่าปัจจุบันอยู่ เรื่องแบตเตอรี่นั้น ผมเห็นด้วยกับอาจารย์เพราะบอกตามตรง ไม่อยากทะเลาะกับใครในหัวข้อดังกล่าว เพราะช่วงนี้เป้นช่วงพักผ่อนสบายอารมณ์ของผมครับ ปีหนึ่งมีหนเดียวที่จะได้พักจริงๆจังๆเลยไม่อยากทะเลาะกับใครครับ  

ผมเป็นคนใต้ และทำสวนปาล์มด้วย ขอแสดงความเห็นว่าหากพื้นที่ไม่มีความชื้นเพียงพอ ไม่ควรจะปลูกปาล์ม เพราะปาล์มเป็นพืชในเขตร้อนชื้น ชอบอากาศแบบนี้ หากอากาศไม่เป็นใจ ผลผลิตก็จะไม่ได้ดี

ผมสนับสนุนทฤษฎีของในหลวง เรื่องเศรษกิจพอเพียง ควรปลูกพืชอาหารมากกว่าจะดูไปที่จำนวนเงิน แม้ว่าปลูกปาล์มจะได้เงินมากกว่า แต่อาหารทุกอย่างต้องซื้อกิน เงินที่มากกว่าจะซื้ออาหารได้มากกว่าหรือไม่ ยังเป็นปัญหา

นอกจากนี้ หากปลูกปาล์ม จะต้องมีโรงงานรับซื้ออยู่ในพื้นที่ใกล้ๆ หากอยู่ไกลไป ค่าขนส่งจะกินหมด กล่าวคือราคาปาล์ม 5 บาท/กก. ถือว่าเป็นราคาดี รถ 10 ล้อคันหนึ่งบรรทุกได้ 20 ตัน ถือว่าแบกน้ำหนักแล้ว สินค้าบนรถมีราคาเพียง 100,000 บาท ถามว่าหากโรงงานอยู่ไกล จะเสียค่าใช้จ่ายมาก หักแล้วคุ้มหรือไม่

ผมผ่านไปทางเหนือและอีสาน เห็นปลูกยางกันมาก ไม่ปลูกพืชอาหารเหมือนเดิม ได้เงินมา ก็ต้องซื้ออาหารทุกอย่างกิน ไม่แน่ใจว่า หากยางราคาไม่ดี จะยังมีเงินซื้ออาหารกินหรือไม่

เป็นความเห็นส่วนตัวที่อยากให้พิจารณา เห็นไม่เหมือนกัน ก็ไม่ว่ากันนะครับ

หลายท่านแสดงความเห้นกันไปหมดแล้ว ผมจะอยู่เฉยๆก็กระไรอยู่เพราะได้โม้โอ้อวดมาหลายครั้งว่า เคยแอบๆไปนั่งในคณะทำงานมาหลายคณะพอสมควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศที่นักการเมืองขอบยกมาอ้างเช่น บราซิล, อาร์เยนติน่า, เยอรมัน, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ผมพอจะสรุปได้ว่า ต้นกำเนิดพลังงานใหม่ๆ "ต้องไม่ใช่สิ่งที่เป็นอาหารของคนหรือสัตว์ เพราะจะเกิดการแย่งกันจนราคาสูงลิบลิ่ว และพื้นที่เพาะปลูกของโลกลดลงทุกวินาที"......"พลังงานไฟฟ้าเหมาะสมกับบางประเทศที่มีการใช้รถในระยะทางสั้นๆเฉพาะในเมืองและใช้ครั้งละไม่นาน ที่สำคัญประเทศนั้นๆต้องมีพลังงานไฟฟ้าเหลือเฟือและสามารถเพิ่มได้ตามที่ต้องการ  อันนี้ต้องถามว่า วันนี้ประเทศไทยมีพลังงานไฟฟ้าเพียงพอหรือยัง  และกรณีที่กล่าวอ้างว่ารถยนต์ไฟฟ้าปลอดมลพิาจากไอเสียนั้น ก็เคยมีคำถามในหลายวงสัมนาว่า แล้วการผลิตแบตเตอรี่สร้างมลภาวะมากขึ้นหรือไม่ และเมื่อแบตเตอรี่เสื่อมสภาพ ใครจะเป็นผู้จ่ายเงินค่าทำลายแบตเตอรี่ซึ่งถือเป็นขยะพิษ  ใครในที่นี้คือ รัฐนั้นๆ, ผู้ผลิตรถ, ผู้ผลิตแบตเตอรี่ หรือผู้บริโภคที่ใช้รถ ........ส่วนที่มาจากฟอสซิลทั้งหมดผมไม่มีความเห็นเพิ่มเติมครับ อันที่จริงเรื่องนี้ผมได้รับเชิญไปแสดงความเห็นหลายแห่ง จนบริษัทรถยนต์หลายยี่ห้อโกรธขนาดไม่มองหน้ามาจนทุกวันนี้ แต่ทั้งหมดนี้คือเหตุผลที่อยากจะให้ลองพิจารณาดู ซึ่งหากจะเอาละเอียดกว่านี้คงยาวละครับ

คุณๆครับรถผมใช้ E85 มาตลอดครับหาที่เติมไม่ยากเท่าไหร่เติมครั้งละ 900 วิ่งในเมืองได้ 10 โล/ลิตร ได้ระยะทาง 450+

ภูมิใจครับใด้ช่วยประหยัดพลังงาน fossil ช่วยชาติประหยัด ตัวเองประหยัด และก็อนุรักษ์สิ่งแวดล้อมและพลังงานครับ

แต่อยากให้มีE85 ทุกสถานี ใบจาก และ ปตท ครับ

ขอตอบเรื่องรถไฟฟ้านะครับ คือในปัจจุบันนี้ ผู้คนใช้พลังงานไฟฟ้าเยอะมาก ซึ่งตอนนี้ยังไม่สามารถหาแหล่งพลังงานทดแทนได้อย่างเพียงพอ เพื่อรองรับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า หากจะมีรถยนต์ไฟฟ้าจริงๆ ก็ต้องมีสถานีบริการไฟฟ้า และต้องมีแหล่งผลิตพลังงานที่สามารถผลิตไฟฟ้าเพื่อตอบสนองความต้องการได้อย่างเพียงพอด้วย ถามว่าอีกเร็วๆนี้ไหม ตอบว่ายังครับ คาดว่าอย่างต่ำ 10 กว่าปี ถึงจะได้เริ่มเห็นแผนงานเป็นรูปเป็นร่างครับ ซึ่งทางการไฟฟ้าก็มีการศึกษาข้อมูลในส่วนนี้อยู่เหมือนกัน รวมทั้งระบบการจัดเก็บพลังงานด้วย แต่ถ้าถามว่ามีโอกาสจะได้ใช้รถยนต์ไฟฟ้าไหม ตอบได้เลยว่า มีแน่นอนครับ

 คุณคนว่างครับ ที่ผมว่าปาล์มล้านไร่ จะเกิดขึ้นาจริงต้องเปลียนผืนนาให้เป็นสวนปาล์มครับ เหมือนที่เขาเปลี่ยนสวนส้มร้างที่รังสิตมาเป็นสวนปาล์มกว่า 2 หมื่นไร่ครับ ให้ผลผลิตดี ในอดีตมีการส่งเสริมในทำนองนี้มาแล้ว ในสมัยผมยังหนุ่ม ๆ ส่งเสริมให้ปลูกผลไม้ทดแทนยางพาราในพื้นที่ภาคใต้ เพราะตอนนั้นราคายางพาราถูก แต่ผลไม้่ราคาดี โดยให้เงินสนับสนุนไร่ละประมาณ 6 พันบาท รัฐบาลคุณทักษิณก็ส่งเสริมปลูกยางล้านไร่เช่นกัน ทำไมจะส่งเสริมปลูกปาล์มล้านไร่ไม่ได้ครับ ปลูกปาล์มรายได้เกษตรกรดีกว่าปลูกข้าวครับ พอ ๆ กับการปลูกยางพาราครับ ทำไมคนแห่กันไปปลูกยางพารา เพราะยางราคาดี ตอนนี้และอนาคตเป็นเรื่องของพลังงานทดแทน วิสัยทัศน์ของผมคือตรงนี้ครับ คุณคนว่างครับเลือกตั้งสมัยหน้าเรามาจับมือตั้งพรรคกันดีไหมครับ(ขำ ๆ ) เอาพรรคชื่ออะไรดี!  ต้องขอโทษท่านที่ตั้งกระทู้นี้ด้วยนะครับ นอกเรื่องไปเสียไกลเลย และคงต้องร้องเพลงรออีกนานที่จะใช้รถยนต์ไฟฟ้าราคาถูก

ขออภัยที่ต้องแย้งคุณนนท์นะครับ พลังงานทดแทนของไทยเริ่มที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งพระองค์ท่านทำเป็นโครงการส่วนพระองค์ในวังสวนจิตรมาตั้งแต่สมัยที่ใช้ชิ้อ TEternol ซึ่งสมัยนั้นมีการออกมาเรี่ยไรเงินประชาชนเพื่อเข้าร่วมโครงการของพระองค์ท่านนั้นแหละครับ และโครงการ Biodiesel ก็เป็นโครงการที่พระองค์ท่านเริ่มโครงการร่วมกับกองทัพเรื่อมานานมากแล้ว ส่วนที่คุณชวลิตอยากให้ประเทศไทยเราปลูกปาล์มให้มากขึ้น ขอบอกได้เลยว่าลืมได้เลยครับ เพราะการส่งเสริมให้ปลูกถึงหนึ่งล้านไร่เกิดขึ้นได้ยากเพราะบ้านเราไม่มีที่ดินให้ปลูกมากขนาดนั้น ด้วยเหตุผลดังกล่าว ทำให้ต้องหันไปหาเพื่อนบ้าน ซึ่งไม่มีข้อจำกัดเรื่องที่ดิน เรื่องพลังงานทดแทนนั้น บ้านเรามันเกิดได้ยาก เพราะคนไทยยังเชื่อมั่นว่า E10 ไม่ดี สู้เบนซิน 95 ไม่ได้ ใช้ E20 ไม่ดี สู้เบนซิน 91 ไม่ได้ เป็นต้น ซึ่งถ้าภาครัฐตั้งใจจะส่งเสริมจริงๆ ยกเลิกเบนซิน 95 และเบนซิน 91 ถาวรไปเลย บังคับให้รถเก่าแปลงไปใช้ E10 จะเป็น E10 95 หรือ E10 91 ก็ได้ รถที่สามารถใช้ E20 ได้ก็ควรจะใช้ E20 ตามที่มันควรจะเป็น ไม่ใช่หนี้ไปใช้ E10 หรือเบนซิน 91 กับ 95 แบบทุกวันนี้ EFV หรือ E85 กว่าจะเกิดคงจะอีกนาน เพราะไม่เห็นมีนโยบายกระตุ้นจริงจังอะไรออกมาให้เป็นรูปธรรมเพียงแต่ให้ส่วนลดภาษีกับผู้ผลิต EFV เท่านั้น แต่คนใช้ก็ยังไม่ยอมใช้ E85 ตามที่มันควรจะเป็นเลยแม้นแต่น้อยครับ ฝันนะฝันได้ แต่จะเป็นจริงหรือไม่ พวกเราเท่านั้นแหละที่จะต้องทำให้มันเป็นจริง ไม่ใช่คอยแต่พูดว่าเติมแล้วพัีง ดูอย่าง B5 สิ ตอนเริ่มใช้ B5 ก็บอกว่าใช้แล้วพััง มาทุกวันนี้ ยกเลิกดีเซล ใช้แต่ B3-B5 แล้วเครื่องพังไหม ถึงบอกว่าตลกนะคนเรานี่    

เท่าที่ทราบ พลังงานทดแทนต่างประเทศเข้าใช้กันมานานแล้วครับ ไม่ใช่คนไทยเป็นผู้คิดค้น... อย่างสบู่ดำนี้เห็นต่างประเทศเขาใช้กันนานมากแล้ว (อ่านเจอเมื่อกว่า 30 ปีก่อน ในหนังสือสารานุกรมต่างประเทศกระดาษเก่าๆ เหลืองๆ แบบพิมพ์มานานแล้ว)... หลายๆ อย่างเราก็อ้างว่าเราคิดค้น ทั้งที่จริงไม่ใช่ครับ

แต่ผมว่าน่าจะเน้นพวกพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ เน้นเครื่องดีเซลเทอร์โบขนาดเล็ก เอาพลังมาแค่ปั่นมอเตอร์ไฟฟ้าสร้างแรงขับเคลื่อน นำแรงเบรกกลับมาเป็นพลังขับเคลื่อน ซึ่งประหยัดได้ราว 40-50 กม./ลิตร แบบ HUMMER รุ่นนึงก่อนบริษัทแม่ปิดตัวไป วางเครื่องดีเซลเทอร์โบขนาดแค่ 2 ลิตร อัตราเร่งดี แถมประหยัดอีกต่างหาก

ผมไม่ได้ตั้งใจจะขัดแย้งอะไรนะครับ เนื่องจากผมจบมาทาง พืชศาสตร์โดยเฉพาะและทำงานอยู่ในธุรกิจปิโตรเคมี ที่ผมพูดถึงน้ำมันปาล์ม เนื่องจากน้ำมันปาล์มให้ผลผลิตน้ำมันมากที่สุดในบรรดาพืชน้ำมันทุกชนิด และเป็นพืชที่เหมาะสำหรับปลูกในประเทศไทย และสามารถปลูกในที่ลุ่มได้ โดยการยกร่อง สำหรับสาหร่ายและสบู่ดำยังมีความจำกัดเรื่องของผลผลิตต่อไร่ต่ำอยู่ีครับ เมื่อนำมาผลิตเป็นไบโอดีเซลจะทำให้ราคาแพง ผมจึงเห็นว่าควรส่งเสริมปาล์มน้ำมันเพื่อผลิตเป็นไบโอดีเซลโดยเฉพาะ จะหวังพึ่ง AEC เพื่อนบ้านก็ต้องใช้เงินไปซื้อเขา เขาจะขึ้นราคาเมื่อไรเราก็ตาย เหมือนน้ำมันดิบปัจจุบันทีต้องนำเข้า ผมว่าไทยต้องปลูกเองแล้วปลูกให้มากพอ ผมว่าต้องส่งเสริมอย่างน้อย 1 ล้านไร่่ ส่วนเรื่องวิจัยนั้นคนทีต้องเป็นคนให้เงินอุดหนุนงานวิจัยด้านพลังงานทดแทน ควรเป็นภาครัฐมากกว่าบริษัทรถยนต์ แต่บริษัทรถยนต์ควรสนับสนุนการวิจัยด้านเครื่องยนต์ให้สอดรับกับการผสม B100 ในอัตราสูงขึ้นเพราะเป็นงานถนัดกว่า และหากบริษัทรถวิจัยสำเร็จสำหรับเครื่องยนต์ที่ใช้ B100 ที่ปล่อยมลพิษต่ำ ผมว่าในอนาคตจะมีสถานีน้ำมันพลังงานทดแทนเกิดขึ้น มี E85 ให้เติม มี B100ให้เติม มีจุดชาร์จไฟพลังงานแสงอาทิตย์ นี่เป็นฝันเล็ก ๆ ของคนไทยคนหนึ่ง 

รถไฟฟ้าก่อนที่จะทำให้มันเกิดได้ คุณจะต้องจัดหาสถานีบริการเพื่อเติมพลังงานซึ่งคุณจะต้องสร้างมันให้ทั่วประเทศและจะต้องมีให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ เพราะรถไฟฟ้าจะมีรัศมีทำการที่ต่ำเพราะทุกวันนี้เทคโนโลยี่แบตเตอรี่ทำได้ดีที่สุดก็แค่นี้แหละครับ มันกำลังอยู่ในช่วงที่กำลังมีการพัฒนาให้เก็บไฟได้มากขึ้นและใช้งานได้มากขึ้นอยู่ แต่ปัญหาคือราคาของมันยังแพงเกินเอื้อมที่จะนำเอามาใช้ในเชิงพาณิชย์ ถ้าคุณไม่มีสถานีเติมให้พอเพียงมันจะก่อปัญหาระยะยาวได้เหมือนกับรถที่ใช้ NGV ที่ทุกวันนี้พอเจ้าของรถนำเอาไปใช้ในบางพื้นที่ กลับไม่มีสถานีบริการหรือไม่มีก๊าซเพียงพอในการให้บริการ แต่ข้อดีคือลูกค้ายังสามารถใช้น้ำมันทดแทนเพื่อให้รถวิ่งต่อไปได้ แต่ถ้าเป้นรถไฟฟ้า ถ้าคุณไม่มีไฟเติมก็จบกันเท่านั้นเอง ปัญหาหนักคือในสภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ใครจะลงทุนสร้างสถานีเติมจำนวนมากๆได้ครับ (สร้างได้ก็แต่สถานีต้นแบบเท่านั้น) ส่วนเบนซิน e20 และ e85 กำลังได้รับการส่งเสริมมาเป็นพิเศษเพราะทุกคนทราบดีว่าเจ้าของโรงกลั่น Ethanol ก็คือนักการเมืองเป็นส่วนใหญ่และนักการเมืองเองก็เอาใจบริษัทรถที่ผลิตรถเครื่อง FFV โดยยอมรถภาษีให้อย่างท่วมฟ้ามัวดินเพราะพวกตัวเองได้ผลประโยชน์กันนั่นเอง  สำหรับ Biodiesel นั้น คุณอาจจะเห็นว่าไม่มีการพัฒนา แต่ในความเป็นจริง มีการพัฒนาโดยบริษัทฯรถให้ทุนเพื่อทำการศึกษา วิจัยและพัฒนาการผลิตน้ำมันดีเซลคุณภาพสูงที่มีค่าซีเทนสูงกว่าน้ำมันดีเซล B5 ธรรมดา ซึ่งปัจจุบันกำลังทำการทดสอบการผลิตให้ได้ถึง B10 และอาจจะสูงกว่าเกรด B10 นั้นในอนาคตอันใกล้นี้ โดยจะผลิตจากสบู่ดำและสาหร่าย เรื่องการปลูกปาล์มนั้น ทุกวันนี้ในประเทศไทยมีพื้นที่จำกัด ภาครัฐก็มีการนำเอาที่ดินเสื่อมโทรมมาพัฒนาปลูกปาล์มเพื่อให้ได้ผลผลิตสูงขึ้น แต่ต้องมั่นใจว่าปาล์มที่ปลูกใหม่จะไม่เกิดจากการตัดไม้ทำลายป่า ส่วนในประเทศเพื่อนบ้านซึ่งเราสามารถหาประโยชน์จากการทำ AEC กำลังมีการพัฒนาปลูกปาล์มขนาดใหญ่ (เกินห้าแสนไร่ขึ้นไป)อยู่ในขณะนี้ โดยใช้เมล็ดพันธุ์ปาล์มคุณภาพสูงจาก Costa Rica, Benin และ Ivory Coast มาทำการปลูก ซึ่งคาดว่าจะเริ่มได้ผลผลิตภายในสองปีข้างหน้านี้ ดังนั้นแนวโน้มที่กังวลว่าจะไม่มีนำมันปาล์มพอเพียงในการบริโภคและนำมาใช้เพื่อเป็นเชื้อเพลิงจึงจะหมดไปในอนาคต โครงการดังกล่าวจะผลิตเพื่อการส่งออกทั้งหมด ในเรื่องการพัฒนาเมล็ดพันธุ์ของไทยนั้น ต้องยอมรับว่าการพัฒนาพันธุ์ของบ้านเรานั้น ยังด้อยกว่าของต่างประเทศเพราะทุนของเรามันน้อยกว่า ผลผลิตที่ได้จึงยังสู้เมล็ดพันธุ์คุณภาพดีไม่ได้ แต่เกษตรกรเราก็ไม่มีทุนเพียงพอที่จะไปซื้อเมล็ดพันธุ์คุณภาพดีที่มีราคาแพงได้หรอกครับ เพื่อนบ้าเราเช่นมาเลเซียก็มีการพัฒนาพันธุ์คุณภาพสูงเพื่อใช้งานในประเทศของเขาและห้ามทำการส่งออก ทำให้เกษตรกรไทยไม่สามารถเข้าถึงเมล็ดพันธุ์คุณภาพสูงได้อย่างเต็มที่ ราคาเมล็ดพันธ์บ้านเราจะอยู่ที่ประมาณ 20-25 บาท/เมล็ด แต่เมล็ดพันธ์คุณภาพสูง จากแหล่งผลิตโดยตรงเช่นจาก ASD หรือจาก CIRAD จะมีราคาเกือบ 40 บาท/เมล็ดเมื่อรวมค่าขนส่งทางอากาศแล้วครับ     

ขออภัยล่วงหน้าหากขัดจังหวะ

รถไฟฟ้าใช้พลังงานจากโรงไฟฟ้า โรงไฟฟ้าในเมืองไทยใช้ก๊าซธรรมชาติและน้ำมันดิบในการผลิตกระแสไฟฟ้าเป็นส่วนใหญ่ แต่หลายประเทศที่เขาส่งเสริมรถไฟฟ้า บ้านเขามีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ ถ่านหิน และพลังงานทดแทนอื่น ๆ ถ้ามองให้ขาดแล้ว ประเทศไทยควรจะไปในแนวทางไหน ผมว่าควรไปในแนวทางส่งเสริมการใช้พลังงานทดแทนน้ำมัน เช่นไบโอดีเซล E20 E85 มากกว่า เหมือนกับประเทศบราซิลครับ โดยเฉพาะไบโอดีเซลที่ตอนนี้ถูกแช่แข็งเอาไว้ แล้วอ้างว่าปาล์มน้ำมันไม่พอบริโภค แต่กลับไม่ส่งเสริมให้ทำอะไรเลย รัฐควรส่งเสริมให้วิจัย ทั้งการผลิตให้ได้คุณภาพดีเพื่อสามารถเิพิ่มจาก B5 เป็น B10 เป็น B20 และ B85 เหมือนกับที่มี E85 ทำดังนี้ครับ

1 ส่งเสริมการปลูกปาล์มพันธุ์ดี เปลี่ยนนาข้าวที่น้ำไม่ท่วมขังเป็นสวนปาล์ิม ปาล์มเก็บผลได้ภายใน 2-3 ปีเท่านั้นครับ เมืองไทยปลูกข้าวเกินความต้องการแล้ว เิอาเงินที่ต้องจ่ายเป็นแสนล้านที่ขาดทุนจากการจำนำข้าว มาเปลี่ยนชาวนาให้เป็นชาวสวนปาล์มดีกว่า

2 ส่งเสริมการวิจัยด้านวิศวกรรมเครื่องยนต์ เพื่อพัฒนาให้ใช้ ไบโอดีเซลในอัตราสูงขึ้น

3 ส่งเสริมเพื่อเพิ่มคุณภาพไบโอดีเซล และประสิทธิผลการผลิต

4 ส่งเสริมให้ตั้งคลังน้ำมันปาล์มดิบของรัฐ หรือ สหกรณ์ หรือ ธกส.

ผมว่าพลังงานทดแทนที่ผมกล่าวมานี้ ผมไม่ใช่คนต้นคิด แต่ในหลวงท่านคิดและทำมานานแล้ว หากรัฐบาลคิดสักนิด อย่าหวังเพียงคะแนนเสียง เอาเงิน 3 หมื่นล้านที่ต้องเสียไปในโครงการรถคันแรก นำไปพัฒนา อีก 3 ปีข้างหน้า เราจะได้ใช้น้ำมันดีเซลราคาถูกกัน อย่าลืม CNG จะหมดภายในอีกไม่กี่ปีนะครับ น้ำมันก็เช่นกัน แต่น้ำมันบนดินไม่มีวันหมดครับ ขอโทษที่ร่ายยาวไปหน่อย

ไม่ได้ใช้แล้วละ บริษัทที่ขายน้ำมันคงไม่ยอม