มีปัญหาเรื่องหัวฉีดครับ ช่วยด้วยครับ
avatar
M


ผมใช้ accord ท้ายก้อนเดียว vtec อยู่ครับ ติดแก๊สระบบหัวฉีด วิ่งวันละประมาณ 40-60 กิโล ต่อวัน ใช้น้ำมันวันละประมาณ 10 กิโล 

เมื่อวันก่อนมีปัญหาเวลาสตาร์ทตอนเช้า กับตอนกลับบ้าน จะมีกลิ่นน้ำมันเบนซินเข้ามาทางแอร์ แต่พิขับไปได้ซักพักจะหาย เป็นเฉพาะตอนจอดเช้า-เย็น เท่านั้นครับ ถ้าระหว่างนั้นแม้จะดับเครื่องลงไปแวะซื้อของ สตาร์เครื่องใหม่ก็ไม่มีกลิ่นเลย  เครืองก็ขับได้ปกติ

แต่กลัวมีอันตรายเลยไปเข้าศูนย์ ศูนย์บอกว่า หัวฉีดเสื่อม น้ำมันรั่ว เปลี่ยหัวละ5000กว่า 4 หัว บวกค่ารางหัวฉีดอะไรซักอย่างอีก4-5 พัน  รวมเกือบๆ 3 หมื่น แทบช๊อค

เลยถามเขาว่าถ้าขับต่อจะเป็นไรมั้ย ช่างบอกว่าไม่รับรองเพราะมีน้ำมันรั่ว เลยถามต่อว่าถ้าขับแบบใช้แก๊สเท่านั้นจะพอไหวมั้ย ใช้ประทังไปก่อนเพราะยังไม่มีเงิน ช่างบอกว่าถ้าใช้แก๊สก็ได้ไม่เป็นไร

ผมเลยสงสัยครับ

1. ผมใช้แก๊สหัวฉีด ถ้าหัวฉีดเสียแล้วมันจะใช้แก๊สขับได้เหรอครับ

2. มันจะเสียพร้อมกัน 4 หัวเลยเหรอครับ

3. ถ้ามันเสียแบบนี้ขับไปอันตรายหรือเปล่าครับ แต่มันขับได้ปกตินะครับ รอบก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเก็บตังซ่อมอยู่จะใช้ไปก่อนได้มั้ยครับ

4. ถ้าต้องซ่อมจะทำยังไงที่ไม่ต้องเสียเงินมากครับ แล้วใช้งบประมาณเท่าไหร่ครับ

 

รบกวนทุกท่านด้วยนะครับ ตอนนี้กลุ้มใจมากครับ



ผู้ตั้งกระทู้ M (msp144-at-yahoo-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2009-11-19 14:08:53 IP : 203.153.177.133


1

ความคิดเห็นที่ 9 (3131155)
avatar
M www.easydhamma.com

ขอบคุณทุกท่านครับ ตอนนี้ยังไม่มีเวลาไปซ่อมต้องรอเดือนหน้าเลย หวังว่าคงไม่เสียไปมากกว่านี้ แต่กลิ่นน้ำมันน้อยลงบางทีก็ไม่มีเลยไม่รู้ว่าเพราะไปขับทางไกลยาวๆมารึเปล่า

ช่างศูนย์ที่แย่ๆก็มี แต่ที่ดีๆก็มีนะครับผมก็เคยเจอหลายคน

ตอนนี้ลมหนาวมาแล้ว ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งดีๆสมปรารถนา

ผู้แสดงความคิดเห็น M www.easydhamma.com วันที่ตอบ 2009-11-23 08:11:08 IP : 203.153.177.133


ความคิดเห็นที่ 8 (3130623)
avatar
deep_samui

อ่านความคิดเห็นของ คุณ ประณีต แล้วประณีต สมชื่อจริงๆครับ ผมเองก็เข้าอู่นอกบ้าง ( เพราะเลยระยะประกันฯไปไกลแล้ว ) ศูนย์บ้าง แล้วแต่กรณียังต้องเข้าไปด้อมๆมองๆทั้งที่เขาเขียนว่าห้ามเข้า ( ในศูนย์ ) ยังเจอบ่อยๆ อาทิ สตาร์ททั้งแอร์ สตาร์ทไม่รอให้หัวเผาดับ ฯลฯ อาจจะหยุมหยิม แต่นึกในใจว่า " รถกูนะโว้ยไม่ใช่รถมึง แล้วในคู่มือเขาเขียนไว้ทำไม " แต่ก็ทำใจได้เพราะนานๆเจอกัน แล้วก็ไปเขียนในใบแสดงความคิดเห็นถ้ามีหลงเหลืออยูบางครั้ง ถ้าเผื่อทางศูนย์โทรฯมาถามเรื่องที่ซ่อมไปว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็สวนไปบ้างพองามฝากไป เพราะคนถามก็ไม่ได้ทำแล้วคนทำก็ไม่ได้ถาม นีก็ใกล้จะปีใหม่แล้วอีกเดือนกว่าๆขออวยพรล่วงหน้าให้เหล่าบรรดาชาวเว็ปฯ และผู้ที่เสียสละเวลามาช่วยตอบปัญหาหรือแสดงความคิดเห็นแก้ไขในแนวทางต่างๆและต้องอดทนในบางกระทู้ที่จะโต้ตอบปล่อยให้เฉาตายไปเอง "มีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ปราศจากหนี้สินมากวนใจ ไม่มีโรคภัย ร่างกายแข็งแรง อยากกินอะไรก็ได้กิน ( ที่ไม่ใช่ยา ) อยากไปไหนก็ได้ไป ( ที่ไม่ใช่ ร.พ. ) ลูกหลานว่านอนสอนง่าย คุยกับเมียก็เข้าใจ แม่ยายเข้าข้าง พ่อตา OK. เหล่าเพื่อนฝูงญาติมิตรที่ชอบมายืมเงินก็ลาจากไป ไร้อุบัติเหตุเภทภัยใดๆ ปลอดภัยทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน" พอเนอะเดี๋ยวมากไปจบไม่ลง

ผู้แสดงความคิดเห็น deep_samui วันที่ตอบ 2009-11-21 08:09:32 IP : 113.53.0.64


ความคิดเห็นที่ 7 (3130481)
avatar
ประณีต

ปืนลมเป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงที่ใช้ถอดและใส่น้อตโดยอาศัยแรงลมจากปั๊มลมแรงสูง  ผมไม่ทราบเป็นตัวเลขว่าแรงดันเท่าไร  แต่ก็คิดว่าสูงทีเดียว  ไม่ว่ารถบรรทุก, กระบะ หรือรถเก๋งซีดานเข้ามาใช้บริการร้านขายยางหรือร้านปะยางตามปั๊ม  ผมเห็นว่าปืนลมนี้ยิงถอดน้อตได้หมด

ผมพอจะยอมรับการถอดน้อตด้วยปืนลมได้บ้าง  แต่ในการใช้ปืนลมขันน้อตผมไม่เห็นด้วย  เพราะมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงดังต่อไปนี้

1. ถ้าการวางน้อตตัวเมียบนแกนน้อตตัวผู้ไม่เรียบร้อย (คือเกลียวยังไม่สบกันดี)  ความแรงของปืนลมจะฝืนปั่นน้อตเข้าไป  ทำให้เกลียวเสียหายได้

2. ถ้าร้านตั้งแรงลมมากเกินไปหรือเผอิญมีรถใหญ่มาใช้บริการก่อนเราแล้วร้านไม่ได้ผ่อนแรงลม  จะทำให้ขันแน่นเกินไป  น้อตอาจขาดหรือเกลียวหวานได้

3. การขันน้อตล้อที่ผมเคยได้รับการสอนจากรุ่นพี่ๆ มาคือค่อยๆ ขันน้อตล้อทุกตัวลงไปทีละน้อย  ไขว้กันไปมา จนแน่นขนาดตึงมือ  เพื่อให้เกิดแรงกดเท่าๆ กัน  เพราะบ่าที่รับล้อยางจะมีชุดเบรคอยู่  โดยเฉพาะดิสค์เบรคเป็นแผ่นจานอยู่  การขันด้วยแรงกดเท่าๆ กันไปพร้อมๆ กัน  จะทำให้จานเบรคค่อยๆ ปรับตัวรับแรงกดจากน้อตล้อทุกตัวพร้อมๆ กัน  จนในที่สุดแน่นติดกัน 

เด็กที่ร้านยางที่ผมเห็นอยู่เสมอๆ คือเขาจะใส่น้อตทีละล้อแล้วใช้ปืนลมยิงเลย  ใส่ตัวที่ 1 แล้วยิงจนแน่น ใส่ตัวที่ 2 แล้วยิงแน่น ไปจนถึงตัวสุดท้ายอาจเป็นตัวที่ 5 ที่ 6   แล้วก็มายิงตัวที่ 1 ถึงตัวสุดท้ายอีกรอบ  ซึ่งผมคิดว่าการใส่น้อตตัวที่ 1 แล้วยิงแน่นเลย  เท่ากับเป็นการพุ่งแรงกดไปที่จานเบรคจุดหนึ่ง  ทำให้จานเบรคมีโอกาสบิดตัวได้  ยิ่งถ้าจานถูกเจียร์มาหลายครั้ง  ความแกร่งลดลงโอกาสบิดตัวก็มีมาก  พอถึงน้อตตัวที่ 2 ก็มีโอกาสบิดตัวอีกถึงแม้จะน้อยกว่าตัวที่ 1  พอถึงตัวสุดท้ายอาจจะบิดตัวนิดเดียวแต่น้อตล้อ 4-6 ตัวที่ทำให้จานเบรคบิดตัวไปนั้น  ก็จะทำให้จานแกว่งไม่ได้ดุลย์  เกิดเป็นลูกคลื่นได้ครับ 

ผลข้างเคียงที่ผมว่าในข้อ 1. และ 2. ผมเคยเจอด้วยตัวเองครับ  จากร้านยางแห่งหนึ่ง  เขาทำเกลียวผมเสียแล้วก็ไม่บอกผม  ผมขับไปเบรคไป มันมีเสียงเหมือนอะไรมาโยนใส่พื้นรถ  ผมเลยจอดรถแล้วลงมาดู  เปิดท้ายรถก็ไม่มีของอะไรที่ผิดสังเกต  ดูแท่นเครื่องก็แน่นดี  ขับไปอีกพอเบรคก็มีเสียงอีก   จึงชักสงสัยที่ล้อ  จอดรถดูเลย  โอ้โห.. ล้อหน้าซ้ายครับ  เขาทำน้อตผมเสียถึง 3 ตัว  สองตัวหวาน อีกหนึ่งตัวเกลียวเสีย  ผมสุดแค้นเลย    จากนั้นผมได้มีโอกาสคุยสังสรรค์แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนที่เป็นช่าง  เขาก็ให้ความเห็นในแบบข้อที่ 3.  ซึ่งผมฟังแล้วก็เห็นว่ามีเหตุผลและเป็นไปได้  จึงเก็บเป็นความรู้  แล้วนำมาแลกเปลี่ยนกันครับ

จริงๆ แล้วผมก็เป็นคนที่อธิบายอะไรไม่เก่งเท่าไร  แต่คิดว่าคุณปัญญาคงจะพอจับทางที่ผมอธิบายได้บ้างนะครับ 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประณีต วันที่ตอบ 2009-11-20 19:10:29 IP : 58.8.92.89


ความคิดเห็นที่ 6 (3130425)
avatar
ปัญญา

ติดใจความเห็นข้อที่ 5 ของพี่ประณีตครับ  ขออนุญาตเรียนถามว่าผลข้างเคียงของการ
ขันน็อตล้อด้วยปืนลม มันเป็นยังบ้างครับ ?
กรุณาให้เป็นวิทยาทานหน่อยนะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น ปัญญา วันที่ตอบ 2009-11-20 15:39:28 IP : 118.175.68.16


ความคิดเห็นที่ 5 (3130413)
avatar
ประณีต

 ในทัศนะของผม  สมมติว่าผมใช้รถเก่าสักประมาณ 10 ปีอยู่คันหนึ่ง  เวลามีปัญหาขึ้นมา  ผมจะแยกเป็นเรื่องๆ ไป  ว่าเรื่องไหนควรจะซ่อมกับอู่แบบไหน  เช่น

1. ถ้าเป็นเรื่องทั่วๆ ไป เช่น เปลี่ยนยางแท่นเครื่องแท่นเกียร์  เปลี่ยนสายพานราวลิ้น  เปลี่ยนปั๊มน้ำ  เปลี่ยนสายน้ำมัน  ถังน้ำมัน  หน้าปัด  หรือแบบในกรณีของคุณนี้  รวมถึงการยกเครื่อง  ซ่อมช่วงล่าง  ผมจะซ่อมอู่ข้างนอกที่ขึ้นป้ายซ่อมยี่ห้อนั้นโดยเฉพาะที่ดูแล้วน่าจะดีและคุยกับช่างใหญ่รู้เรื่อง

2. ถ้าระบบไฟมีปัญหา เช่น แบตเสื่อม  ไดชาร์จ  มอร์เตอร์สตาร์ท  หรือไฟลัดวงจรบางจุด  อันนี้ผมเข้าร้านไฟฟ้ารถยนต์  ยกเว้นว่ารถที่ผมใช้เป็นรถยุโรป  อันนี้ผมคงต้องเข้าอู่ซ่อมยี่ห้อนั้นโดยเฉพาะ

3. ถ้าเป็นระบบเบรค (เบรคอย่างเดียวไม่รวมช่วงล่าง)  อันนี้ผมเข้าร้านเบรคโดยเฉพาะ  (ร้านเบรคโดยเฉพาะนี่เขาจะมีเครื่องมือสำหรับงานเบรคครบวงจรในร้านเขา  มีทั้งอัดผ้าเบรค  เจียร์จาน)

4. ถ้าเกียร์ออโต้มีปัญหา  ผมเข้าร้านซ่อมเกียร์ออโต้โดยเฉพาะ (ตรงนี้อาจต้องหาข่าวว่าร้านไหนเชื่อถือได้) และพูดคุยกับช่างใหญ่ว่าควรจะซ่อมหรือเปลี่ยนของเก่า  มีเงื่อนไขใดที่คุ้มกว่ากัน

5. ถ้ายางหมดอายุ  ผมไปร้านขายยาง  แต่ผมจะแอบดูก่อนว่าร้านยางนั้นเวลาเขาใส่ยางให้ลูกค้า  ใช้ปืนลมหรือเปล่า  ถ้าใช้ก็ไม่เข้า  ผมจะเข้าร้านขายยางที่เขาใส่ยางให้ลูกค้าโดยใช้มือขันประแจถอดน้อตล้อด้วยการขันที่ถูกวิธีเท่านั้น (ตอนนี้มีหลายร้านเริ่มทำแบบนี้บ้างแล้ว เพราะลูกค้าเริ่มรู้ผลข้างเคียงของการใช้ปืนลม)

6. ถ่ายน้ำมันเครื่อง  น้ำมันเกียร์  น้ำในหม้อน้ำ หรือของเหลวอื่นๆ ตามวงรอบ  รวมถึงว่าถ้ารถผมมีอาการแปลกๆ มีไฟเช็คเครื่องยนต์โชว์  อันนี้คงต้องเข้าศูนย์บริการ  แต่ก็ต้องหาข่าวอีกว่าศูนย์ไหนน่าเข้า  ไม่ชุ่ย  และแก้ปัญหาได้เฉียบขาด

6 ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ  ท่านอื่นอาจจะมีความเห็นไม่เหมือนกับผมก็ได้  แต่เผอิญรถที่ผมใช้มันมีอายุ 21 ปีแล้ว บางข้อของผมจึงต้องเลือกดูช่างที่มีอายุไล่ๆ กับผมด้วย

แต่ถ้าเป็นรถยุคค่อนข้างใหม่ถึงใหม่เลย  เช่น ฮอนด้า ซิตี้ แจ๊ส idsi ถึงปัจจุบัน  โตโยต้า วิออส รุ่นแรกถึงปัจจุบัน  ซีวิค1800 ขึ้นมา  อย่างนี้คงต้องพึ่งศูนย์บริการเป็นหลักครับ  เพราะอู่ข้างนอกอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นเท่าไร  อีกอย่างหนึ่งเทคโนโลยีที่ใช้กับรถยุคค่อนข้างใหม่ถึงใหม่กับรถหัวฉีดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว  มีความแตกต่างกันครับ  ECU และซอฟแวร์จะอ่านค่าจากฮาร์ดแวร์มากขึ้น  เครื่องแสกนเนอร์ก็ไม่เหมือนกัน  บางครั้งเปลี่ยนฮาร์ดแวร์แล้วต้องเซ็ทค่าใหม่ด้วย  หรือเทคนิคการขันน้อตก็ไม่เหมือนกัน  ข้อนี้พรรคพวกผมเล่าให้ฟังครับ 

ขอกลับไปที่คุณถามมานะครับ รถวิ่ง 120,000 กม. ก็ยังไม่ถือว่ามากหรอกครับ  ที่ซ่อมไปหลายหมื่นก็ไม่เป็นไร  ถือว่าได้ต่ออายุรถใช้ต่อไปอีก  เรื่องความคุ้มค่าในการใช้ต่อหรือเปลี่ยนใหม่นี่ผมไม่กล้าแสดงความเห็นครับ  เพราะไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เลย  ได้แต่คิดในแบบตัวเองว่าจะรักษาของทุกชิ้นที่เป็นของเราให้ดีที่สุด (ข้อนี้พ่อผมสอนมา) มีอะไรเสียก็ซ่อมไป  ถ้าจะเปลี่ยนต้องดูเหตุผลความจำเป็น (สมเหตุสมผลตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง) หรือโชคดีบุญหล่นทับมีเงินซื้อใหม่ได้โดยไม่กระทบความเป็นอยู่เลยก็จะซื้อครับ

เรื่องเกียร์ของรถคุณ  อาจต้องคุยกับช่างใหญ่ของร้านซ่อมเกียร์ออโต้ (ตามข้อ 4.) ซึ่งเขาอาจจะแนะนำให้เปิดแคร้งค์น้ำมันเกียร์  เปลี่ยนกรอง  ล้างกรอง หรืออะไรก็แล้วแต่  อาจช่วยให้อาการดีขึ้น  ต่อจากนั้นคุณก็ต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามวงรอบนะครับ (ใช้น้ำมันเกียร์ของฮอนด้าตามสเป็คนะครับ  อย่าไปเทียบเบอร์น้ำมันกับยี่ห้ออื่น)  ซึ่งการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ให้ได้ดีตามเสป็คคงต้องพึ่งศูนย์บริการ(ตามข้อ 6.) ครับ  ทั้งหมดที่โพสท์มาซะยาวเลยนี้ก็อยากให้คุณใช้รถอย่างมีความสุขและเสียค่าใช้จ่ายไม่มากเกินไปน่ะครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประณีต วันที่ตอบ 2009-11-20 15:09:12 IP : 58.8.91.148


ความคิดเห็นที่ 4 (3130323)
avatar
M

ขอบคุณทุกท่านครับ

สบายใจขึ้นหน่อย คือรถผมเอาเข้าศูนย์มาตลอดตั้งแต่ซื้อแล้วล่ะครับ มีบางกรณีที่เล็กน้อยถึงจะเข้าอู่นอก แต่ปีหลังๆมานี่ ค่าใช้จ่ายรถคันนี้เพิ่มขึ้นมากๆ เปลี่ยนทีเป็นหมื่นๆ เพิ่งจะเปลี่ยนสายน้ำมันเพาเวอร์กับลูกหมากไป เจออันนี้อีก ครั้งละหลักหมื่นอย่างนี้ก็อ่วมเหมือนกันครับ นี่จังหวะเปลี่ยนเกียร์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลกๆอีกแล้วแต่ยังเป็นไม่บ่อย อาศัยถ่ายน้ำมันเอาแต่ไม่รู้จะไปได้กี่น้ำ

คือผมใช้รถแบบรักษามากสภาพภายนอกยังดีๆอยู่ วิ่งมา 120000 กว่าๆเอง  
รถพ่อให้มาไม่อยากเปลี่ยน ความเห็นท่านๆ ว่าจะไปได้อีกประมาณเท่าไหร่ครับ
จะได้เตรียมตัวไว้ แต่ถ้าใช้งบไม่มากก็อยากใช้คันนี้ต่อครับ

ปล. ผมคนละคนกับคุณ M(น่ารัก) แน่ครับ เฟิม :)

ผู้แสดงความคิดเห็น M วันที่ตอบ 2009-11-20 10:50:10 IP : 203.153.177.133


ความคิดเห็นที่ 3 (3130279)
avatar
M(น่ารัก)

ผมป่าวชงเองกินเองเด๊อครับ พี่ประณีตครับ อิอิ

ผู้แสดงความคิดเห็น M(น่ารัก) วันที่ตอบ 2009-11-20 08:38:08 IP : 202.12.97.119


ความคิดเห็นที่ 2 (3130062)
avatar
ประณีต

ท่านเจ้าของกระทู้และท่าน คห.1 ชื่อเดียวกันเลย 

1. เมื่อคุณใช้แก๊ส หัวฉีดแก๊สทำงานครับ หัวฉีดน้ำมันไม่ทำงาน  ดังนั้นถ้าหัวฉีดน้ำมันเสีย  ก็ไม่มีปัญหาอะไร  เพราะตอนนั้นใช้หัวฉีดแก๊สอยู่

2. น่าจะเสียเป็นบางหัว  ถ้าคุณมีงบน้อยเปลี่ยนเฉพาะหัวที่เสียก็ได้  แต่ที่ช่างศูนย์ให้เปลี่ยนทั้ง 4 หัวเลย  คงขี้เกียจดูว่าหัวไหนเสีย   หรืออาจจะเห็นว่าหัวฉีดมันก็อายุพอๆ กัน คงจะเสียในเวลาใกล้ๆ กัน ก็เลยบอกให้คุณเปลี่ยนมันทุกหัวเลย

3. ผมเข้าใจว่าหัวฉีดของคุณคงจะตัน  ขณะสตาร์ทเครื่องตอนแรกมันฉีดน้ำมันไม่ออก พอสตาร์ทหลายๆ ครั้ง น้ำมันก็ค่อยๆ สะสมจนเป็นหยด พอเครื่องติดก็เผาน้ำมันส่วนเกินทำให้ได้กลิ่นน้ำมันฟุ้งคล้ายรถคาร์บิวน้ำมันท่วมหละครับ

ถ้าคุณยังไม่ซ่อม  ใช้ต่อไปเรื่อยๆ  มันก็จะตันขึ้นเรื่อยๆ จนฉีดน้ำมันไม่ออก รถของคุณคงติดไม่ครบทุกสูบ  กำลังตก  ซึ่งบอกไม่ได้ว่าจะถึงวันนั้นเมื่อไร

4. ผมคงจะแนะนำเหมือนอาจารย์เอ็มใน คห.1 คือไปซ่อมอู่นอกศูนย์ที่ขึ้นป้ายซ่อมรถฮอนด้า   เขาอาจจะวินิจฉัยแค่ล้างหัวฉีดเท่านั้น อาการที่คุณว่ามาก็อาจจะหายได้  หรืออาจจะเปลี่ยนเฉพาะหัวที่มีปัญหา หรือเปลี่ยนโดยใช้อะไหล่เทียบราคาถูกกว่าอะไหล่ศูนย์ก็ได้  ลองดูอู่ฮอนด้าที่โหงวเฮ้งดีๆ ช่างใหญ่คุยง่ายๆ  คุยกับเขาให้รู้เรื่อง  แล้วซ่อมตามลำดับตามเงินที่มีอยู่  อย่าเพิ่งไปเปลี่ยนยกชุดตั้ง 3 หมื่น  ผมว่ารถของคุณถ้ามีอาการแค่ที่คุณบอกมาคงใช้เงินเพียงหลักพันเท่านั้น

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ประณีต วันที่ตอบ 2009-11-19 17:55:28 IP : 61.90.6.2


ความคิดเห็นที่ 1 (3130022)
avatar
M(น่ารัก)

ลองหาอู่นอกดูครับ อาจจะไม่ใช่อย่าที่ศูนย์ว่ามาร้อย % ก็เป็นได้ครับ ศูนย์ชอบเชียร์เปลี่ยนอะไหล่ เพราะรายได้เค้ามาจากการขายอะไหล่(ที่ราคาเบิกห้าง)อยู่แล้วนี่นาครับ รถถ้าไม่มีประกันศูนย์แล้ว ผมว่าน่าจะซ่อมข้างนอกได้ถูกตังค์กว่าครับ

เดี๋ยวนี้ผมว่าเรื่องเดียวที่ต้องพึ่งศูนย์ คือเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้เช็คกล่อง และเช็คระบบไฟฟ้า ที่ข้างนอก(แทบ)หมดสิทธิ์ลงทุนเองครับ อันนี้ยอมแพ้ศูนย์.....

อ้อ แต่คราวก่อนนู๊นนนนนน ผมก็เคยเอาอีคาร์เข้าศูนย์นะครับ เค้าเช็คเจอว่า  fuel sensor เสีย เลยลองมาหาเอาข้างนอก... แต่สุดท้ายหาไม่ได้ ก็ต้องไปเบิกศูนย์แกะกล่องใหม่อยู่ดีครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น M(น่ารัก) วันที่ตอบ 2009-11-19 15:31:53 IP : 202.12.97.119



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.