|
มีปัญหาเรื่องหัวฉีดครับ ช่วยด้วยครับ | |
M | ผมใช้ accord ท้ายก้อนเดียว vtec อยู่ครับ ติดแก๊สระบบหัวฉีด วิ่งวันละประมาณ 40-60 กิโล ต่อวัน ใช้น้ำมันวันละประมาณ 10 กิโล เมื่อวันก่อนมีปัญหาเวลาสตาร์ทตอนเช้า กับตอนกลับบ้าน จะมีกลิ่นน้ำมันเบนซินเข้ามาทางแอร์ แต่พิขับไปได้ซักพักจะหาย เป็นเฉพาะตอนจอดเช้า-เย็น เท่านั้นครับ ถ้าระหว่างนั้นแม้จะดับเครื่องลงไปแวะซื้อของ สตาร์เครื่องใหม่ก็ไม่มีกลิ่นเลย เครืองก็ขับได้ปกติ แต่กลัวมีอันตรายเลยไปเข้าศูนย์ ศูนย์บอกว่า หัวฉีดเสื่อม น้ำมันรั่ว เปลี่ยหัวละ5000กว่า 4 หัว บวกค่ารางหัวฉีดอะไรซักอย่างอีก4-5 พัน รวมเกือบๆ 3 หมื่น แทบช๊อค เลยถามเขาว่าถ้าขับต่อจะเป็นไรมั้ย ช่างบอกว่าไม่รับรองเพราะมีน้ำมันรั่ว เลยถามต่อว่าถ้าขับแบบใช้แก๊สเท่านั้นจะพอไหวมั้ย ใช้ประทังไปก่อนเพราะยังไม่มีเงิน ช่างบอกว่าถ้าใช้แก๊สก็ได้ไม่เป็นไร ผมเลยสงสัยครับ 1. ผมใช้แก๊สหัวฉีด ถ้าหัวฉีดเสียแล้วมันจะใช้แก๊สขับได้เหรอครับ 2. มันจะเสียพร้อมกัน 4 หัวเลยเหรอครับ 3. ถ้ามันเสียแบบนี้ขับไปอันตรายหรือเปล่าครับ แต่มันขับได้ปกตินะครับ รอบก็ไม่มีปัญหาอะไร ถ้าเก็บตังซ่อมอยู่จะใช้ไปก่อนได้มั้ยครับ 4. ถ้าต้องซ่อมจะทำยังไงที่ไม่ต้องเสียเงินมากครับ แล้วใช้งบประมาณเท่าไหร่ครับ
รบกวนทุกท่านด้วยนะครับ ตอนนี้กลุ้มใจมากครับ |
ผู้ตั้งกระทู้ M (msp144-at-yahoo-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2009-11-19 14:08:53 IP : 203.153.177.133 |
1 |
ความคิดเห็นที่ 9 (3131155) | |
M www.easydhamma.com | ขอบคุณทุกท่านครับ ตอนนี้ยังไม่มีเวลาไปซ่อมต้องรอเดือนหน้าเลย หวังว่าคงไม่เสียไปมากกว่านี้ แต่กลิ่นน้ำมันน้อยลงบางทีก็ไม่มีเลยไม่รู้ว่าเพราะไปขับทางไกลยาวๆมารึเปล่า ช่างศูนย์ที่แย่ๆก็มี แต่ที่ดีๆก็มีนะครับผมก็เคยเจอหลายคน ตอนนี้ลมหนาวมาแล้ว ขอให้ทุกท่านสุขภาพแข็งแรง คิดสิ่งดีๆสมปรารถนา |
ผู้แสดงความคิดเห็น M www.easydhamma.com วันที่ตอบ 2009-11-23 08:11:08 IP : 203.153.177.133 |
ความคิดเห็นที่ 8 (3130623) | |
deep_samui | อ่านความคิดเห็นของ คุณ ประณีต แล้วประณีต สมชื่อจริงๆครับ ผมเองก็เข้าอู่นอกบ้าง ( เพราะเลยระยะประกันฯไปไกลแล้ว ) ศูนย์บ้าง แล้วแต่กรณียังต้องเข้าไปด้อมๆมองๆทั้งที่เขาเขียนว่าห้ามเข้า ( ในศูนย์ ) ยังเจอบ่อยๆ อาทิ สตาร์ททั้งแอร์ สตาร์ทไม่รอให้หัวเผาดับ ฯลฯ อาจจะหยุมหยิม แต่นึกในใจว่า " รถกูนะโว้ยไม่ใช่รถมึง แล้วในคู่มือเขาเขียนไว้ทำไม " แต่ก็ทำใจได้เพราะนานๆเจอกัน แล้วก็ไปเขียนในใบแสดงความคิดเห็นถ้ามีหลงเหลืออยูบางครั้ง ถ้าเผื่อทางศูนย์โทรฯมาถามเรื่องที่ซ่อมไปว่าเป็นอย่างไรบ้าง ก็สวนไปบ้างพองามฝากไป เพราะคนถามก็ไม่ได้ทำแล้วคนทำก็ไม่ได้ถาม นีก็ใกล้จะปีใหม่แล้วอีกเดือนกว่าๆขออวยพรล่วงหน้าให้เหล่าบรรดาชาวเว็ปฯ และผู้ที่เสียสละเวลามาช่วยตอบปัญหาหรือแสดงความคิดเห็นแก้ไขในแนวทางต่างๆและต้องอดทนในบางกระทู้ที่จะโต้ตอบปล่อยให้เฉาตายไปเอง "มีเงินเหลือเก็บเหลือใช้ปราศจากหนี้สินมากวนใจ ไม่มีโรคภัย ร่างกายแข็งแรง อยากกินอะไรก็ได้กิน ( ที่ไม่ใช่ยา ) อยากไปไหนก็ได้ไป ( ที่ไม่ใช่ ร.พ. ) ลูกหลานว่านอนสอนง่าย คุยกับเมียก็เข้าใจ แม่ยายเข้าข้าง พ่อตา OK. เหล่าเพื่อนฝูงญาติมิตรที่ชอบมายืมเงินก็ลาจากไป ไร้อุบัติเหตุเภทภัยใดๆ ปลอดภัยทั้งในชีวิตและทรัพย์สิน" พอเนอะเดี๋ยวมากไปจบไม่ลง |
ผู้แสดงความคิดเห็น deep_samui วันที่ตอบ 2009-11-21 08:09:32 IP : 113.53.0.64 |
ความคิดเห็นที่ 7 (3130481) | |
ประณีต | ปืนลมเป็นอุปกรณ์ทุ่นแรงที่ใช้ถอดและใส่น้อตโดยอาศัยแรงลมจากปั๊มลมแรงสูง ผมไม่ทราบเป็นตัวเลขว่าแรงดันเท่าไร แต่ก็คิดว่าสูงทีเดียว ไม่ว่ารถบรรทุก, กระบะ หรือรถเก๋งซีดานเข้ามาใช้บริการร้านขายยางหรือร้านปะยางตามปั๊ม ผมเห็นว่าปืนลมนี้ยิงถอดน้อตได้หมด ผมพอจะยอมรับการถอดน้อตด้วยปืนลมได้บ้าง แต่ในการใช้ปืนลมขันน้อตผมไม่เห็นด้วย เพราะมีโอกาสที่จะเกิดผลข้างเคียงดังต่อไปนี้ 1. ถ้าการวางน้อตตัวเมียบนแกนน้อตตัวผู้ไม่เรียบร้อย (คือเกลียวยังไม่สบกันดี) ความแรงของปืนลมจะฝืนปั่นน้อตเข้าไป ทำให้เกลียวเสียหายได้ 2. ถ้าร้านตั้งแรงลมมากเกินไปหรือเผอิญมีรถใหญ่มาใช้บริการก่อนเราแล้วร้านไม่ได้ผ่อนแรงลม จะทำให้ขันแน่นเกินไป น้อตอาจขาดหรือเกลียวหวานได้ 3. การขันน้อตล้อที่ผมเคยได้รับการสอนจากรุ่นพี่ๆ มาคือค่อยๆ ขันน้อตล้อทุกตัวลงไปทีละน้อย ไขว้กันไปมา จนแน่นขนาดตึงมือ เพื่อให้เกิดแรงกดเท่าๆ กัน เพราะบ่าที่รับล้อยางจะมีชุดเบรคอยู่ โดยเฉพาะดิสค์เบรคเป็นแผ่นจานอยู่ การขันด้วยแรงกดเท่าๆ กันไปพร้อมๆ กัน จะทำให้จานเบรคค่อยๆ ปรับตัวรับแรงกดจากน้อตล้อทุกตัวพร้อมๆ กัน จนในที่สุดแน่นติดกัน เด็กที่ร้านยางที่ผมเห็นอยู่เสมอๆ คือเขาจะใส่น้อตทีละล้อแล้วใช้ปืนลมยิงเลย ใส่ตัวที่ 1 แล้วยิงจนแน่น ใส่ตัวที่ 2 แล้วยิงแน่น ไปจนถึงตัวสุดท้ายอาจเป็นตัวที่ 5 ที่ 6 แล้วก็มายิงตัวที่ 1 ถึงตัวสุดท้ายอีกรอบ ซึ่งผมคิดว่าการใส่น้อตตัวที่ 1 แล้วยิงแน่นเลย เท่ากับเป็นการพุ่งแรงกดไปที่จานเบรคจุดหนึ่ง ทำให้จานเบรคมีโอกาสบิดตัวได้ ยิ่งถ้าจานถูกเจียร์มาหลายครั้ง ความแกร่งลดลงโอกาสบิดตัวก็มีมาก พอถึงน้อตตัวที่ 2 ก็มีโอกาสบิดตัวอีกถึงแม้จะน้อยกว่าตัวที่ 1 พอถึงตัวสุดท้ายอาจจะบิดตัวนิดเดียวแต่น้อตล้อ 4-6 ตัวที่ทำให้จานเบรคบิดตัวไปนั้น ก็จะทำให้จานแกว่งไม่ได้ดุลย์ เกิดเป็นลูกคลื่นได้ครับ ผลข้างเคียงที่ผมว่าในข้อ 1. และ 2. ผมเคยเจอด้วยตัวเองครับ จากร้านยางแห่งหนึ่ง เขาทำเกลียวผมเสียแล้วก็ไม่บอกผม ผมขับไปเบรคไป มันมีเสียงเหมือนอะไรมาโยนใส่พื้นรถ ผมเลยจอดรถแล้วลงมาดู เปิดท้ายรถก็ไม่มีของอะไรที่ผิดสังเกต ดูแท่นเครื่องก็แน่นดี ขับไปอีกพอเบรคก็มีเสียงอีก จึงชักสงสัยที่ล้อ จอดรถดูเลย โอ้โห.. ล้อหน้าซ้ายครับ เขาทำน้อตผมเสียถึง 3 ตัว สองตัวหวาน อีกหนึ่งตัวเกลียวเสีย ผมสุดแค้นเลย จากนั้นผมได้มีโอกาสคุยสังสรรค์แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนที่เป็นช่าง เขาก็ให้ความเห็นในแบบข้อที่ 3. ซึ่งผมฟังแล้วก็เห็นว่ามีเหตุผลและเป็นไปได้ จึงเก็บเป็นความรู้ แล้วนำมาแลกเปลี่ยนกันครับ จริงๆ แล้วผมก็เป็นคนที่อธิบายอะไรไม่เก่งเท่าไร แต่คิดว่าคุณปัญญาคงจะพอจับทางที่ผมอธิบายได้บ้างนะครับ
|
ผู้แสดงความคิดเห็น ประณีต วันที่ตอบ 2009-11-20 19:10:29 IP : 58.8.92.89 |
ความคิดเห็นที่ 6 (3130425) | |
ปัญญา | ติดใจความเห็นข้อที่ 5 ของพี่ประณีตครับ ขออนุญาตเรียนถามว่าผลข้างเคียงของการ |
ผู้แสดงความคิดเห็น ปัญญา วันที่ตอบ 2009-11-20 15:39:28 IP : 118.175.68.16 |
ความคิดเห็นที่ 5 (3130413) | |
ประณีต | ในทัศนะของผม สมมติว่าผมใช้รถเก่าสักประมาณ 10 ปีอยู่คันหนึ่ง เวลามีปัญหาขึ้นมา ผมจะแยกเป็นเรื่องๆ ไป ว่าเรื่องไหนควรจะซ่อมกับอู่แบบไหน เช่น 1. ถ้าเป็นเรื่องทั่วๆ ไป เช่น เปลี่ยนยางแท่นเครื่องแท่นเกียร์ เปลี่ยนสายพานราวลิ้น เปลี่ยนปั๊มน้ำ เปลี่ยนสายน้ำมัน ถังน้ำมัน หน้าปัด หรือแบบในกรณีของคุณนี้ รวมถึงการยกเครื่อง ซ่อมช่วงล่าง ผมจะซ่อมอู่ข้างนอกที่ขึ้นป้ายซ่อมยี่ห้อนั้นโดยเฉพาะที่ดูแล้วน่าจะดีและคุยกับช่างใหญ่รู้เรื่อง 2. ถ้าระบบไฟมีปัญหา เช่น แบตเสื่อม ไดชาร์จ มอร์เตอร์สตาร์ท หรือไฟลัดวงจรบางจุด อันนี้ผมเข้าร้านไฟฟ้ารถยนต์ ยกเว้นว่ารถที่ผมใช้เป็นรถยุโรป อันนี้ผมคงต้องเข้าอู่ซ่อมยี่ห้อนั้นโดยเฉพาะ 3. ถ้าเป็นระบบเบรค (เบรคอย่างเดียวไม่รวมช่วงล่าง) อันนี้ผมเข้าร้านเบรคโดยเฉพาะ (ร้านเบรคโดยเฉพาะนี่เขาจะมีเครื่องมือสำหรับงานเบรคครบวงจรในร้านเขา มีทั้งอัดผ้าเบรค เจียร์จาน) 4. ถ้าเกียร์ออโต้มีปัญหา ผมเข้าร้านซ่อมเกียร์ออโต้โดยเฉพาะ (ตรงนี้อาจต้องหาข่าวว่าร้านไหนเชื่อถือได้) และพูดคุยกับช่างใหญ่ว่าควรจะซ่อมหรือเปลี่ยนของเก่า มีเงื่อนไขใดที่คุ้มกว่ากัน 5. ถ้ายางหมดอายุ ผมไปร้านขายยาง แต่ผมจะแอบดูก่อนว่าร้านยางนั้นเวลาเขาใส่ยางให้ลูกค้า ใช้ปืนลมหรือเปล่า ถ้าใช้ก็ไม่เข้า ผมจะเข้าร้านขายยางที่เขาใส่ยางให้ลูกค้าโดยใช้มือขันประแจถอดน้อตล้อด้วยการขันที่ถูกวิธีเท่านั้น (ตอนนี้มีหลายร้านเริ่มทำแบบนี้บ้างแล้ว เพราะลูกค้าเริ่มรู้ผลข้างเคียงของการใช้ปืนลม) 6. ถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ น้ำในหม้อน้ำ หรือของเหลวอื่นๆ ตามวงรอบ รวมถึงว่าถ้ารถผมมีอาการแปลกๆ มีไฟเช็คเครื่องยนต์โชว์ อันนี้คงต้องเข้าศูนย์บริการ แต่ก็ต้องหาข่าวอีกว่าศูนย์ไหนน่าเข้า ไม่ชุ่ย และแก้ปัญหาได้เฉียบขาด 6 ข้อนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ ท่านอื่นอาจจะมีความเห็นไม่เหมือนกับผมก็ได้ แต่เผอิญรถที่ผมใช้มันมีอายุ 21 ปีแล้ว บางข้อของผมจึงต้องเลือกดูช่างที่มีอายุไล่ๆ กับผมด้วย แต่ถ้าเป็นรถยุคค่อนข้างใหม่ถึงใหม่เลย เช่น ฮอนด้า ซิตี้ แจ๊ส idsi ถึงปัจจุบัน โตโยต้า วิออส รุ่นแรกถึงปัจจุบัน ซีวิค1800 ขึ้นมา อย่างนี้คงต้องพึ่งศูนย์บริการเป็นหลักครับ เพราะอู่ข้างนอกอาจจะยังไม่ค่อยคุ้นเท่าไร อีกอย่างหนึ่งเทคโนโลยีที่ใช้กับรถยุคค่อนข้างใหม่ถึงใหม่กับรถหัวฉีดเมื่อ 10 ปีที่แล้ว มีความแตกต่างกันครับ ECU และซอฟแวร์จะอ่านค่าจากฮาร์ดแวร์มากขึ้น เครื่องแสกนเนอร์ก็ไม่เหมือนกัน บางครั้งเปลี่ยนฮาร์ดแวร์แล้วต้องเซ็ทค่าใหม่ด้วย หรือเทคนิคการขันน้อตก็ไม่เหมือนกัน ข้อนี้พรรคพวกผมเล่าให้ฟังครับ ขอกลับไปที่คุณถามมานะครับ รถวิ่ง 120,000 กม. ก็ยังไม่ถือว่ามากหรอกครับ ที่ซ่อมไปหลายหมื่นก็ไม่เป็นไร ถือว่าได้ต่ออายุรถใช้ต่อไปอีก เรื่องความคุ้มค่าในการใช้ต่อหรือเปลี่ยนใหม่นี่ผมไม่กล้าแสดงความเห็นครับ เพราะไม่มีความรู้ทางเศรษฐศาสตร์เลย ได้แต่คิดในแบบตัวเองว่าจะรักษาของทุกชิ้นที่เป็นของเราให้ดีที่สุด (ข้อนี้พ่อผมสอนมา) มีอะไรเสียก็ซ่อมไป ถ้าจะเปลี่ยนต้องดูเหตุผลความจำเป็น (สมเหตุสมผลตามหลักเศรษฐกิจพอเพียง) หรือโชคดีบุญหล่นทับมีเงินซื้อใหม่ได้โดยไม่กระทบความเป็นอยู่เลยก็จะซื้อครับ เรื่องเกียร์ของรถคุณ อาจต้องคุยกับช่างใหญ่ของร้านซ่อมเกียร์ออโต้ (ตามข้อ 4.) ซึ่งเขาอาจจะแนะนำให้เปิดแคร้งค์น้ำมันเกียร์ เปลี่ยนกรอง ล้างกรอง หรืออะไรก็แล้วแต่ อาจช่วยให้อาการดีขึ้น ต่อจากนั้นคุณก็ต้องหมั่นเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ตามวงรอบนะครับ (ใช้น้ำมันเกียร์ของฮอนด้าตามสเป็คนะครับ อย่าไปเทียบเบอร์น้ำมันกับยี่ห้ออื่น) ซึ่งการเปลี่ยนน้ำมันเกียร์ให้ได้ดีตามเสป็คคงต้องพึ่งศูนย์บริการ(ตามข้อ 6.) ครับ ทั้งหมดที่โพสท์มาซะยาวเลยนี้ก็อยากให้คุณใช้รถอย่างมีความสุขและเสียค่าใช้จ่ายไม่มากเกินไปน่ะครับ
|
ผู้แสดงความคิดเห็น ประณีต วันที่ตอบ 2009-11-20 15:09:12 IP : 58.8.91.148 |
ความคิดเห็นที่ 4 (3130323) | |
M | ขอบคุณทุกท่านครับ สบายใจขึ้นหน่อย คือรถผมเอาเข้าศูนย์มาตลอดตั้งแต่ซื้อแล้วล่ะครับ มีบางกรณีที่เล็กน้อยถึงจะเข้าอู่นอก แต่ปีหลังๆมานี่ ค่าใช้จ่ายรถคันนี้เพิ่มขึ้นมากๆ เปลี่ยนทีเป็นหมื่นๆ เพิ่งจะเปลี่ยนสายน้ำมันเพาเวอร์กับลูกหมากไป เจออันนี้อีก ครั้งละหลักหมื่นอย่างนี้ก็อ่วมเหมือนกันครับ นี่จังหวะเปลี่ยนเกียร์ก็เริ่มเปลี่ยนแปลกๆอีกแล้วแต่ยังเป็นไม่บ่อย อาศัยถ่ายน้ำมันเอาแต่ไม่รู้จะไปได้กี่น้ำ คือผมใช้รถแบบรักษามากสภาพภายนอกยังดีๆอยู่ วิ่งมา 120000 กว่าๆเอง ปล. ผมคนละคนกับคุณ M(น่ารัก) แน่ครับ เฟิม :) |
ผู้แสดงความคิดเห็น M วันที่ตอบ 2009-11-20 10:50:10 IP : 203.153.177.133 |
ความคิดเห็นที่ 3 (3130279) | |
M(น่ารัก) | ผมป่าวชงเองกินเองเด๊อครับ พี่ประณีตครับ อิอิ |
ผู้แสดงความคิดเห็น M(น่ารัก) วันที่ตอบ 2009-11-20 08:38:08 IP : 202.12.97.119 |
ความคิดเห็นที่ 2 (3130062) | |
ประณีต | ท่านเจ้าของกระทู้และท่าน คห.1 ชื่อเดียวกันเลย 1. เมื่อคุณใช้แก๊ส หัวฉีดแก๊สทำงานครับ หัวฉีดน้ำมันไม่ทำงาน ดังนั้นถ้าหัวฉีดน้ำมันเสีย ก็ไม่มีปัญหาอะไร เพราะตอนนั้นใช้หัวฉีดแก๊สอยู่ 2. น่าจะเสียเป็นบางหัว ถ้าคุณมีงบน้อยเปลี่ยนเฉพาะหัวที่เสียก็ได้ แต่ที่ช่างศูนย์ให้เปลี่ยนทั้ง 4 หัวเลย คงขี้เกียจดูว่าหัวไหนเสีย หรืออาจจะเห็นว่าหัวฉีดมันก็อายุพอๆ กัน คงจะเสียในเวลาใกล้ๆ กัน ก็เลยบอกให้คุณเปลี่ยนมันทุกหัวเลย 3. ผมเข้าใจว่าหัวฉีดของคุณคงจะตัน ขณะสตาร์ทเครื่องตอนแรกมันฉีดน้ำมันไม่ออก พอสตาร์ทหลายๆ ครั้ง น้ำมันก็ค่อยๆ สะสมจนเป็นหยด พอเครื่องติดก็เผาน้ำมันส่วนเกินทำให้ได้กลิ่นน้ำมันฟุ้งคล้ายรถคาร์บิวน้ำมันท่วมหละครับ ถ้าคุณยังไม่ซ่อม ใช้ต่อไปเรื่อยๆ มันก็จะตันขึ้นเรื่อยๆ จนฉีดน้ำมันไม่ออก รถของคุณคงติดไม่ครบทุกสูบ กำลังตก ซึ่งบอกไม่ได้ว่าจะถึงวันนั้นเมื่อไร 4. ผมคงจะแนะนำเหมือนอาจารย์เอ็มใน คห.1 คือไปซ่อมอู่นอกศูนย์ที่ขึ้นป้ายซ่อมรถฮอนด้า เขาอาจจะวินิจฉัยแค่ล้างหัวฉีดเท่านั้น อาการที่คุณว่ามาก็อาจจะหายได้ หรืออาจจะเปลี่ยนเฉพาะหัวที่มีปัญหา หรือเปลี่ยนโดยใช้อะไหล่เทียบราคาถูกกว่าอะไหล่ศูนย์ก็ได้ ลองดูอู่ฮอนด้าที่โหงวเฮ้งดีๆ ช่างใหญ่คุยง่ายๆ คุยกับเขาให้รู้เรื่อง แล้วซ่อมตามลำดับตามเงินที่มีอยู่ อย่าเพิ่งไปเปลี่ยนยกชุดตั้ง 3 หมื่น ผมว่ารถของคุณถ้ามีอาการแค่ที่คุณบอกมาคงใช้เงินเพียงหลักพันเท่านั้น
|
ผู้แสดงความคิดเห็น ประณีต วันที่ตอบ 2009-11-19 17:55:28 IP : 61.90.6.2 |
ความคิดเห็นที่ 1 (3130022) | |
M(น่ารัก) | ลองหาอู่นอกดูครับ อาจจะไม่ใช่อย่าที่ศูนย์ว่ามาร้อย % ก็เป็นได้ครับ ศูนย์ชอบเชียร์เปลี่ยนอะไหล่ เพราะรายได้เค้ามาจากการขายอะไหล่(ที่ราคาเบิกห้าง)อยู่แล้วนี่นาครับ รถถ้าไม่มีประกันศูนย์แล้ว ผมว่าน่าจะซ่อมข้างนอกได้ถูกตังค์กว่าครับ เดี๋ยวนี้ผมว่าเรื่องเดียวที่ต้องพึ่งศูนย์ คือเรื่องเครื่องคอมพิวเตอร์ใช้เช็คกล่อง และเช็คระบบไฟฟ้า ที่ข้างนอก(แทบ)หมดสิทธิ์ลงทุนเองครับ อันนี้ยอมแพ้ศูนย์..... อ้อ แต่คราวก่อนนู๊นนนนนน ผมก็เคยเอาอีคาร์เข้าศูนย์นะครับ เค้าเช็คเจอว่า fuel sensor เสีย เลยลองมาหาเอาข้างนอก... แต่สุดท้ายหาไม่ได้ ก็ต้องไปเบิกศูนย์แกะกล่องใหม่อยู่ดีครับ |
ผู้แสดงความคิดเห็น M(น่ารัก) วันที่ตอบ 2009-11-19 15:31:53 IP : 202.12.97.119 |
1 |
Copyright © 2010 All Rights Reserved. |
Visitors : 4860169 |