เชื่อได้ไหม?
avatar
คิดจะซื้อรถใหม่


 

เรียนทุกท่าน
ข้อเขียนนี้มีส่วนไหนเชื่อถือได้ควรปฏิบัติตาม ส่วนไหนเป็นไปไม่ได้ ส่วนไหนไม่จำเป็นต้องทำตาม ขอความกรุณาออกความเห็นให้ผู้ไม่รู้ด้วยครับ
ถ้าผมมีโอกาสได้รัน-อินรถใหม่ป้ายแดงซักคันแล้วผมจะทำยังไง?
.........ในอดีตที่ผ่านมารุ่นคุณปู่หรือรุ่นคุณพ่อ จะพบว่ามีรถหลายๆคันที่สามารถวิ่งทะลุผ่าน 20ปีหรือ 1 ล้านกิโลเมตรได้บางคันแทบไม่ต้องซ่อมอะไรมันเลยด้วยซ้ำไป แต่ในยุคตั้งแต่ 1995 มาถึงปัจจุบันบางคันหรือส่วนมากเลยเอาแค่ให้ผ่าน 1 แสนกิโลเมตรก็แทบจะไม่รอดแล้ว ออกอาการเจ็บออดๆแอดๆให้เห็นอยู่เรื่อยๆซ่อมจุกๆจิกๆบางทีแค่ แสนกิโลเศษๆก็ต้องยกเครื่องกันแล้ว.....ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น?.......
........เป็นที่ทราบกันดีว่ารถใหม่หรือช่วงเครื่องยนต์ใหม่หรือช่วงรัน-อินคือช่วงที่มีการสึกหรอมากที่สุดเพราะชิ้นส่วนต่างๆยังไม่เข้าที่อยู่ระหว่างการปรับสภาพซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่ออายุงานของรถว่าจะยาวนานขนาดไหน..... .........ดังนั้นจึงทำการรวบรวมข้อมูลจากท่านที่ใช้รถอย่างยาวนานหลายๆท่านและสรุปผลหรือหาค่าเฉลี่ยออกมาเพื่อวางแผนการรัน-อิน เผื่ออนาคตถ้าหากมีโอกาสหรือฟลุคๆถูกหวยขึ้นมาฝันที่เป็นจริงก็อาจจะเกิดขึ้นได้ เมื่อมีโอกาสซื้อป้ายแดงซักคันจะได้ปฏิบัติเพื่อถนอมรถให้มีอายุยืนยาวที่สุดเพราะคันนึงถูกๆซะเมื่อไหร่แถมคนจนๆอย่างผมก็คงเป็นไปได้ยากที่จะเปลี่ยนรถหรือยากมากที่จะต้องหาเงินก้อนโตๆมาซ่อมมันเอาแบบจ่ายทีละน้อยๆดีกว่า ความจริงเรื่องพวกนี้มันมีในคู่มือติดรถมาให้อยู่แล้วแต่บอกตามตรงว่ามันมีข้อแม้แอบแฝงอยู่ด้วยต้องอ่านแถมยังต้องตีความหมายซึ่งบางอย่างผมก็ไม่เห็นด้วยกับคู่มือในปัจจุบันเลยผมเชื่อคุณปู่หรือคุณพ่อมากกว่าเพราะยังไงท่านก็พิสูจน์มาแล้วและก็ไม่มีผลประโยชน์แอบแฝงใดๆอีกต่างหาก........
1.ที่ระยะ100 กิโลเมตรแรก
......หลังจากขับออกจากโชว์รูมมาช่วงแรกนี้ผมจะถนอมรถมากที่สุดเท่าที่จะทำได้เพราะผมถือว่าเป็นช่วงที่มีการสึกหรอมากที่สุดและรุนแรงที่สุด โดย:
1.1.ออกตัวนิ่มนวลที่สุดค่อยๆปล่อยคลัทช์และกดคันเร่งเบาๆให้รอบค่อยๆสูงขึ้นทีละน้อยให้รถค่อยๆเคลื่อนตัวออกไป ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ก็ค่อยๆปล่อยเบรคจนสุดรถก็จะเคลื่อนตัวออกไปเองอย่างช้าๆแล้วค่อยมาแตะคันเร่งกดลงเบาๆเช่นกัน(ถ้าฝึกบ่อยๆเราจะกลายเป็นคนที่ขับรถอย่างนิ่มนวลไปโดยอัตโนมัติและจะชินกับมันตลอดไป)
1.2.ควบคุมรอบเครื่องไม่ให้เกิน 2,000รอบ เปลี่ยนเกียร์สูงขึ้นทันทีที่2,000 รอบ และลดเกียร์ต่ำลงทันทีที่ 1,200รอบ ถ้าเป็นเกียร์ออโต้ก็จะปล่อยให้มันทำงานเองแต่จะควบคุมความเร็วไม่ให้เกิน 60 กม/ชม.และจะใช้โอเวอร์ไดรว์ทันทีที่ความเร็วถึง 60กม/ชม.
1.3.เปลี่ยนเกียร์และรอบเครื่องหรือความเร็วมากหรือบ่อยที่สุดเท่าที่ทำได้โดยไม่แช่หรือนิ่งไว้ที่รอบหรือความเร็วใดๆโดยการกดหรือผ่อนคันเร่งช้าๆอย่างนิ่มนวลเพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดเอนจิ้นเบรค
1.4 ควบคุมความเร็วสูงสุดไม่ให้เกิน 60กม./ชม.
1.5 หลีกเลี่ยงการเหยียบเบรคอย่างรุนแรง(ยกเว้นฉุกเฉิน)ยังไงเราก็ขับช้าอยู่แล้วสามารถที่จะคาดการณ์ล่วงหน้าและวางแผนการแตะเบรคได้อย่างนิ่มโดยไม่ยากนัก แต่ถ่าสามารถหาถนนโล่งๆได้ก็จะชิดซ้ายและแตะเบรคเป็นระยะๆเพื่อลดความเร็วและจะได้เปลี่ยนเกียร์-ความเร็ว-รอบเครื่องบ่อยๆได้อีกด้วย
2. ที่ระยะ101-500 กิโลเมตร
2.1 การปฏิบัติยังเป็นแบบเดิมทุกประการเพียงแต่จะลดความถี่ในการกระทำลงไปเช่นการเปลี่ยนเกียร์-รอบ-ความเร็วจากที่เคยทำอยู่ตลอดเวลาก็อาจจะลดเหลือซัก 5-10นาทีครั้ง
2.2 เพิ่มการควบคุมรอบสูงขึ้นจากไม่เกิน 2,000รอบเป็นไม่เกิน 2,500รอบ (รอบต่ำลดเกียร์ราว 1,500-1,200รอบ)
2.3 เพิ่มการควบคุมความเร็วสูงสุดขึ้นจากไม่เกิน 60 กม/ชม.เป็นไม่เกิน 80 กม/ชม.
2.4 เมื่อถึงระยะ 500กิโลเมตร ทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมใส้กรองและน้ำมันเกียร์พร้อมกรอง(ถ้ามี)
3. ที่ระยะ501-1,000 กิโลเมตร
3.1 การปฏิบัติยังเป็นแบบเดิมทุกประการเพียงแต่จะลดความถี่ในการกระทำลงไปเช่นการเปลี่ยนเกียร์-รอบ-ความเร็วจากที่เคยทำอยู่จากข้อ2ราว 5-10นาทีครั้งก็อาจจะลดเหลือซัก 10-15นาทีครั้ง(รวมไปถึงการแช่รอบ-และความเร็วด้วย)
3.2 เพิ่มการควบคุมรอบสูงขึ้นจากไม่เกิน 2,500รอบเป็นไม่เกิน 3,000รอบ(รอบต่ำลดเกียร์ราว 1,500-1,200รอบ)
3.3 เพิ่มการควบคุมความเร็วสูงสุดขึ้นจากไม่เกิน 80 กม/ชม.เป็นไม่เกิน 100 กม/ชม.
3.4 เมื่อถึงระยะ 1,000กิโลเมตร ทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง-น้ำมันเบรค-น้ำมันคลัทช์(ถ้ามี)-น้ำมันเฟืองท้าย(ถ้ามี)-น้ำมันพวงมาลัย(ถ้ามี)
4. ที่ระยะ1,001-1,500 กิโลเมตร
4.1 การปฏิบัติยังเป็นแบบเดิมทุกประการเพียงแต่จะลดความถี่ในการกระทำลงไปเช่นการเปลี่ยนเกียร์-รอบ-ความเร็วจากที่เคยทำอยู่จากข้อ3ราว 10-15นาทีครั้งก็อาจจะลดเหลือซักไม่เกิน 30นาทีครั้ง(รวมไปถึงการแช่รอบ-และความเร็วหรือการเดินทางไกลด้วย)
4.2 เพิ่มการควบคุมรอบสูงขึ้นจากไม่เกิน 3,000รอบเป็นไม่เกิน 3,500รอบ(รอบต่ำลดเกียร์ราว 1,500-1,200รอบ)
4.3 เพิ่มการควบคุมความเร็วสูงสุดขึ้นจากไม่เกิน 100 กม/ชม.เป็นไม่เกิน 120 กม/ชม.
5. ที่ระยะ1,501-3,000 กิโลเมตร
5.1 ขับขี่ตามปกติตามสะดวกแต่ก็ควรรักษาการปฏิบัติแบบเดิมในเรื่องความนุ่มนวลของการออกตัว-การเร่ง-การเบรค(ถ้าสามารถทำได้)
5.2 เพิ่มการควบคุมรอบสูงขึ้นจากไม่เกิน 3,500รอบเป็นไม่เกิน 4,000รอบ(รอบต่ำลดเกียร์ราว 2,000-1,200รอบ)
5.3 เพิ่มการควบคุมความเร็วสูงสุดขึ้นจากไม่เกิน 120 กม/ชม.เป็นไม่เกิน 140 กม/ชม.
5.4 เมื่อถึงระยะ 3,000กิโลเมตรหรือไม่เกิน3 เดือนทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง
6. ที่ระยะ3,001-5,000 กิโลเมตร
6.1 ขับขี่ตามปกติตามสะดวกแต่ก็ควรรักษาการปฏิบัติแบบเดิมในเรื่องความนุ่มนวลของการออกตัว-การเร่ง-การเบรค(ถ้าสามารถทำได้เพราะจะเป็นการฝึกนิสัยการขับขี่ที่ดีอย่างถาวรไปในตัว)
 
6.2 เพิ่มการควบคุมรอบสูงขึ้นจากไม่เกิน 4,000รอบเป็นไม่เกิน 4,500รอบ(รอบต่ำลดเกียร์ราว 2,000-1,200รอบ)
6.3 เพิ่มการควบคุมความเร็วสูงสุดขึ้นจากไม่เกิน 140 กม/ชม.เป็นไม่เกิน 160 กม/ชม.
6.4 เมื่อถึงระยะ 5,000กิโลเมตรหรือนานสุดไม่ควรเกิน6 เดือนทำการเปลี่ยนน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง
7. ที่ระยะ5,001-10,000 กิโลเมตร
7.1 ขับขี่ตามปกติตามสะดวก
7.2 ไม่จำกัดรอบเครื่องสูงสุดเอาแค่ไม่เกินขีดแดงก็พอ รอบต่ำลดเกียร์ก็ตามสะดวก
7.3 ไม่จำกัดความเร็วสูงสุดจะเอาแบบสุดเข็มไมล์หรือสุดคันเร่งก็ไม่ว่ากัน
7.4 เมื่อถึงระยะ 10,000กิโลเมตรหรือนานสุดไม่ควรเกิน12 เดือนทำการเปลี่ยนของเหลวที่มีในรถทั้งหมดทั้งน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรอง-น้ำมันเกียร์(พร้อมกรอง)-น้ำมันคลัทช์(ถ้ามี)-น้ำมันเฟืองท้าย(ถ้ามี)-น้ำมันเบรค-น้ำหล่อเย็น-น้ำมันพวงมาลัย(ถ้ามี)
8. เกิน 10,000 กิโลเมตรขึ้นไป
8.1 เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเครื่องพร้อมไส้กรองทุกๆ 5,000 กิโลเมตรหรือทุกๆ 6 เดือน
8.2 เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์(ธรรมดา)พร้อมไส้กรอง(ถ้ามี)ทุกๆ 40,000 กิโลเมตรหรือทุกๆ 2 ปี
8.3 เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเกียร์(ออโต้)พร้อมไส้กรอง(ถ้ามี)ทุกๆ 20,000 กิโลเมตรหรือทุกๆ 1 ปี
8.4 เปลี่ยนถ่ายน้ำมันเบรค-น้ำหล่อเย็นและน้ำมันคลัทช์(ถ้ามี)ทุกๆ 40,000 กิโลเมตรหรือทุกๆ 2 ปี
8.5เปลี่ยนถ่ายน้ำมันพวงมาลัย(ถ้ามี)ทุกๆ 60,000 กิโลเมตรหรือทุกๆ 4 ปี
8.6เปลี่ยนหัวเทียน(ถ้ามี)-กรองอากาศและกรองเชื้อเพลิงทุกๆ40,000 กิโลเมตรหรือทุกๆ 2 ปี
8.7เปลี่ยนแบตเตอรี่ทุกๆ 2ปี
8.8เปลี่ยนสายพานทุกเส้นพร้อมตัวตั้งความตึง(ถ้ามี)ทุกๆ 4ปีหรือไม่เกิน 80,000-100,000กิโลเมตร
8.9ปรับตั้งระยะของวาล์วหรือถอดชุดปรับตั้งวาล์วอัตโนมัติออกทำความสะอาดทุกๆ 2ปีหรือ 20,000กิโลเมตรแต่ต้องไม่เกิน40,000กิโลเมตร
ข้อคิดเห็นและเทคนิคส่วนตัว
1.        อาจจะมีหลายท่านแย้งว่าศูนย์บริการทุกวันนี้เขาเปลี่ยนครั้งแรกที่ 10,000โลเลยเพราะเครื่องยนต์ที่ทนทานกว่าแต่ก่อน(จริงเหรอ?)และทันสมัยขึ้น(จริงเหรอ?)ตลอดจนน้ำมันเครื่องก็คุณภาพดีกว่าเมื่อก่อนเยอะ(อันนี้ไม่เถียง)แต่อย่าลืมว่าน้ำมันที่เขาใส่ให้คุณนั้นตามศูนย์บริการนั้นมาจากถัง200ลิตรแล้วเปิดถังตั้งแต่เมื่อไหร่ ความชื้นเข้าไปเท่าไหร่แล้วกว่าจะถึงคิวเติมรถของท่าน เอาแบบเกรดธรรมดาเบอร์40หรือ50 หรือเบอร์รวมก็ให้ตัวท้ายเป็น 40ขึ้นแล้วถ่ายทิ้งบ่อยๆไม่ดีกว่าเหรอ
2.        รถที่นำเข้าจากเมืองหนาว รถเหล่านี้น่าห่วงมากเพราะบ้านเราไม่หนาวมีแต่ร้อนกับร้อนชิ..หาย แต่ศูนย์บริการกลับเอาเบอร์ 5W-30 เติมให้อ้างว่าตามสเปคผู้ผลิต(แล้วคิดเองไม่เป็นหรือไงว่าไอ้เบอร์นี้มันทนความร้อนได้แค่ไหนมันเหมาะกับอุณหภูมิภายนอกที่ต่ำกว่า 20องศาเซลเซียสเท่านั้นมาใช้บ้านเราก็ใสแหน๋วหมดสภาพการหล่อลื่นหรือคิดแต่จะเอาตังค์เพราะไม่ใช่รถของมั..ยังไงเสียมาก็รับทรัพย์อีกระยะสั้นไม่มีปัญหาหรอกแต่หมดประกันหรือ4ปีไปแล้วรู้เรื่องแน่ทั้งความร้อนขึ้น-รอบไม่นิ่ง-แรงตก-ซดน้ำมันมาก-ควันขาว)
3.        ถ้าศูนย์บริการกล่าว(อ้าง)ว่าสิ่งที่จะให้ทำเกี่ยวกับการเปลี่ยนถ่ายของเหลวต่างๆมันเกินความจำเป็น ผมก็จะถามว่าจะทำให้หรือเปล่าผมยินดีจ่ายเพิ่มเองจากเงื่อนไขที่รับประกันฟรี(ที่บวกในราคารถแล้ว)เพราะตอนนี้มันจ่ายไม่มากแต่ระยะยาวเมื่อมีปัญหามาผมก็ต้องจ่ายอยู่ดี(มีหน้าไหนมาจ่ายให้บ้าง)ซึ่งก็จะต้องตกลงกันให้เรียบร้อยตั้งแต่ก่อนซื้อรถ ถ้าหาไม่ได้จริงๆผมก็จะถามเรื่องยี่ห้อและสีของน้ำมันต่างๆที่ต้องการเปลี่ยนแล้วจะนำไปเทียบหรือหาที่ใกล้เคียงเปลี่ยนเองข้างนอก..อุอุ..ความลับเปิดเผย
4.        มีข่าวลือหนาหูว่าการที่ทางศูนย์บริการเปลี่ยนวิธีการรัน-อินหรือเปลี่ยนถ่ายน้ำมันเนื่องจากการบังคับ-ควบคุมวัสดุอันตราย-เป็นพิษหรือทำลายสิ่งแวดล้อมจากทางราชการเข้มข้นรุนแรงขึ้นไม่สามารถที่จะนำไปแอบทิ้งหรือแอบขายให้พวกฟอกน้ำมันเพื่อทำน้ำมันเครื่องปลอมได้อีกต่อไปแต่ต้องมีรายการเข้า-ออกของวัสดุควบคุมที่ชัดเจนรวมถึงที่มา-ที่ไปหรือการที่จะต้องจ้างหน่วยงานที่ได้รับอนุญาตให้นำไปกำจัดเท่านั้น ผลจึงมาตกที่เจ้าของรถเพราะยังไงศูนย์บริการและผู้ค้าอะไหล่ก็จะมีกำไรมากขึ้นอีกด้วยเพราะรถเสียเร็วขึ้นและรุนแรงมากขึ้นกว่าเมื่อก่อน
ป.ล.เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับ


ผู้ตั้งกระทู้ คิดจะซื้อรถใหม่ :: วันที่ลงประกาศ 2009-12-17 13:07:26 IP : 118.173.102.14


1

ความคิดเห็นที่ 3 (3138924)
avatar
ต.ตุ้ย

เป็นความคิดที่ดีมากๆ  ถ้าใครทำได้....ยอดเลยครับ

แต่จะปฏิบัติยากนะ กับสภาพการจราจรในกรุงเทพฯ-ทั่วไป

ผู้แสดงความคิดเห็น ต.ตุ้ย วันที่ตอบ 2009-12-19 08:25:23 IP : 124.120.172.201


ความคิดเห็นที่ 2 (3138532)
avatar
ขจกท

เพื่อนมีอู่แท็กซี่ ทุกคนขับตามสบาย วันไหนทะเลาะกับเมียมา วันนั้นอันติ๊ดโชคร้ายไป แต่โดยรวม เครื่องเดิมใช้ได้เกินสามแสนโล ก่อนยกท่อนบน และได้อีกประมาณสี่แสนโล ก่อนทิ้ง เอา 4 เอ เอฟ วางแทน

ผู้แสดงความคิดเห็น ขจกท วันที่ตอบ 2009-12-17 19:43:24 IP : 203.146.189.100


ความคิดเห็นที่ 1 (3138431)
avatar
เชียงหก

คิดละเอียด เกินไป รันอิน 1000 กม แรก เอาแค่วิ่งปกติ ไม่กระโชกแรง หรือ ไม่ก็วิ่งเร็ว (ไม่ให้รอบเครื่องเกิน 3/4 ของเกย์วันรอบ) หลักจากนั้นก็นำไปเปลียนถ่ายน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ ทิ้ง ก็ขับปกติ จน 5000 กม ขึ้น ที่นี้อยากจะทดลอง ความเร็ว สมรรถนะ อย่างไร ก็เชิญตามสบาย (ปกติ ไม่ใช่เอาแบบรถแข่ง)  7000 กม เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง น้ำมันเกียร์ 20000 กม น้ำมันเบรค ผมเปลี่ยนปีละครั้ง

ส่วนตัวขับรถมา 4 คัน แต่ละคัน 3 แสน กม ขึ้น เกียร์ไม่มีปัญหาะไรนะ (ที่ซ่อม เฉพาะช่างล่างเท่านั้น)

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น เชียงหก วันที่ตอบ 2009-12-17 13:41:57 IP : 125.24.219.202



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.