Suzuki Swift 1.25 ไปกลับกรุงเทพ-สงขลา
avatar
ชวลิต


หลาย ๆ คน แม้กระทั่งผม ก็สงสัยว่า Eco Car จะเดินทางไกล ๆ ได้ไหม จะมีผลกระทบอะไรก้บการสึกหรอมากหรือไม่ แน่นอนการเดินทางไกล การใช้ความเร็วสุงเป็นเวลานาน ต้องแซงรถคันหน้าอยู่ตลอด ย่อมทำให้เครื่องยนต์ทำงานหนักและความร้อนสะสมเครื่องยนต์สูง และความหนืดของน้ำมันเครื่องที่หล่อลื่นก็เปลีืยนไป การหล่อลื่นลดลง สังเกตุหลังจากขับทางไกลแล้วเปิดดูห้องเครื่องจะพบว่า ห้องเครื่องร้อนมาก ๆ นี่คือประสบการณ์โดยตรงจาก Suzuki Swift 1.25 ของผมกับน้ำมันเครื่องศุนย์ 0W-20 และที่สัญญากับเพื่อน ๆ ไว้ว่าจะมารีวิวเรื่องความร้อนในห้องเครื่องหลังเดินทางไกลกับน้ำมันเครื่อง ENEOS 0W-50 ซึ่งถึงว่าเกรดสูงที่สุดที่มีขายในเมืองไทยในเวลานี้ หลังจากเดินทางในช่วงเทศกาลสงกรานต์เพื่อล่องใต้ ในวันที่ 11/4/58 รถติดตั้งแต่สมุทรสาคร ยันประจวบฯ นอนค้างคืนที่ทับสะแก 1 คืน เช้าเดินทางต่อรวดเดียวถึง อ.สะเดา จ.สงขลา ใช้ความเร็วได้เพราะรถไม่ติด ต้องเร่งแซงพวกรถ 10 ล้อวิ่งขวา รถขนผักวิ่งขวาอยู่ตลอดทาง แต่ก็รู้สึกรถตอบสนองได้ดีมาก เร่งเครื่องลื่นดีครับ แรงดีไม่มีตกแม้จะนั่งกัน 5 คนก็ตาม  หลังถึงบ้านดับเครื่องยนต์เปิดห้องเครื่องดู สัมผัสได้เลยว่าห้องเครื่องไม่ร้อนเท่า 0W-20 ของศูนย์ แสดงว่าความสึกหรอของเครื่องยนต์ก็น่าจะน้อยกว่าด้วย วันที่ 13/4/58 ก็เดินทางไป จ.สตูล เพื่อลงเรือไปเที่ยวเกาะ บูโหลน ตอนแรกว่าจะไปเกาะหลีเป๊ะ แต่ได้ข่าวว่าคนไปเยอะมาก ก็เลยเปลียนเป็นเกาะบูโหลน ไม่ผิดหวังจริง ๆ ครับ ได้ดำดูปะการังที่ยังคงสวยงามมากกว่า กระบี่-ภูเก็ต ที่ธรรมชาติถูกทำลายไปมาก วันรุ่งขึ้นเดินทางกลับจากเกาะก็เร้าใจมากเพราะคลื่นสูงมาก เรือหางยาวโดยสารแทบจะแตกเป็นเสี่ยง ๆ เมื่อกระทบกับคลื่น น้ำกระเซ็นเข้ามาในเรือเปียกับหมดทุกคน น่ากลัวมาก ๆ แต่ขอบคุณพระเจ้าปกป้องเราให้กลับชายฝั่งด้วยความปลอดภัย พอถึงฝั่งก็ทานอาหารทะเลกันก่อนกลับ อาหารทะเลสดมาก ๆ หรอยจังหูครับ พออิ่มก็กลับสะเดากันเลย วันที่17/4/58 ก็เดินทางกลับกรุงเทพ รถไม่ติด ว่ิงรวดเดียวถึงกรุงเทพ พักทานข้าว ทานน้ำบ้าง ใช้เวลาเดินทางกลับราว 14 ชั่วโมง ลบเวลาพักก็ประมาณ 12 ชั่วโมงในการเดินทาง กลับมาเปิดห้องเครื่องดู เพื่อความมั่นใจ เครื่องก็ไม่ร้อน คนรักรถอย่างเราจึงสบายใจอย่างแรง ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ทนอ่านจนจบครับ ขอบคุณครับ



ผู้ตั้งกระทู้ ชวลิต (peterc-at-tstplaspack-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2015-04-23 10:01:00 IP : 115.87.105.79


1

ความคิดเห็นที่ 8 (3402831)
avatar
Non W. Presley

เห็นด้วยกับคุณขับ estate เก่าๆ คุณลูกบอลอะไหล่ซิ่ง และคุณ Ongamo ครับ เมืองไทยเน้นตัวหลังเป็นหลักก็พอ เพราะหาจุดเยือกแข็งยาก (อย่างมากปีละครั้งบนยอดดอย)

โดยเฉพาะความเห็นคุณลูกบอลฯ ผมขอเปรียบเทียบว่าเหมือนกับนักเพาะกาย แรกๆ หนุ่มๆ ยังฟิตปั๋ง พอเริ่มแก่ก็จะเหี่ยวหย่อนยานกว่าคนปกติ...

ดู Arnold Schwartznegger ก็ได้ครับ ตอนเล่นคนเหล็กภาค 1-2 กับตอนเป็นผู้ว่าการรัฐฯ ต่างกันแค่ไหน (ภาพจริงก่อน Retouch นะครับ)

ผู้แสดงความคิดเห็น Non W. Presley (nonwpresley-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2015-04-27 07:58:34 IP : 203.116.87.162


ความคิดเห็นที่ 7 (3402785)
avatar
Ongamo

ส่วนตัวผมมองว่า

0W 5W 10W 15W ไม่ได้ให้ผลที่แตกต่าง อย่างมีนัยยะสำคัญ

ยิ่งมองความคุ้มค่า ต่อหน่วยลิตรแล้ว ประกอบการใช้งานแบบถนน ไม่ใช่เรซซิ่ง ผมเลือก 15W ครับ

 

 

ผู้แสดงความคิดเห็น Ongamo วันที่ตอบ 2015-04-24 21:44:47 IP : 171.100.2.22


ความคิดเห็นที่ 6 (3402778)
avatar
ลูกบอลอะไหล่ซิ่ง

เลขหลัง ถ้าเยอะไป ทำให้เครื่องหลวมเร็วขึ้นนะครับ งิ

ผู้แสดงความคิดเห็น ลูกบอลอะไหล่ซิ่ง วันที่ตอบ 2015-04-24 20:23:03 IP : 171.6.34.115


ความคิดเห็นที่ 5 (3402772)
avatar
ชวลิต

ขอบคุณสำหรับความรู้ความเห็นครับ 0W นั้นบ่งบอกถึงความข้นใส  และ 0W ก็ปกป้องเครื่องยนต์ขณะสตาร์ทเครื่องได้ดีกว่า 5W หรือ 10W และ ตัวเลขหลัง50  ก็บ่งบอกถึงการทนความร้อนของน้ำมันเครื่องได้ดีเพียงไร และที่บอกว่า 0W-50 ไม่ได้ทำให้กินน้ำมันเพิ่มขึ้น เนื่องจากได้รับมาตรฐาน API-SN ดังนั้นผมคิดว่า จะซื้อมันเครื่องต้องดูทั้งตัวเลขด้านหน้า และตัวเลขด้านหลัง ครับ

http://www.newaltisclubthailand.com/index.php?topic=349.0

ทนอ่านนิดนึงนะครับ ความรู้เพียบจริง ๆ

ผู้แสดงความคิดเห็น ชวลิต (peterc-at-tstplaspack-dot-com)วันที่ตอบ 2015-04-24 14:23:01 IP : 124.120.202.7


ความคิดเห็นที่ 4 (3402771)
avatar
Non W. Presley

ใช่ครับ เมืองไทยดูแค่ตัวหลังเป็นหลัก ถ้าเครื่องยนต์เริ่มหลวมก็เพิ่มความหนืดทีละหน่อยได้ครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Non W. Presley (nonwpresley-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2015-04-24 14:02:30 IP : 203.116.87.162


ความคิดเห็นที่ 3 (3402761)
avatar
ขับ estate เก่าๆ

เข้าใจผิดแล้วครับ 0W เป็นการวัดความข้นหนืดที่อุณหภูมิ 0 องศาเซลเซียส oW (ค่า vicosity) w = winter น้ำมันจะบอกแค่ว่าที่ 0 องศา ไม่ขึ้นไข และยังคงเป็นฟิล์มอยู่ได้ ซึ่งรถเมืองไทย ไม่ได้ใช้......

ตัวหลังคือความข้นหนืดที่ working temperature (100 องศา) และจะเป็นตัวที่ใช้ในการเลือกน้ำมันเครื่องสำหรับประเทศไทย

การเติมน้ำมันที่เกรดสูงกว่ากำหนด ย่อมส่งผลโดยตรงถึงอุณหภูมิ กับความสึกหรอ 

ร้อนมากไม่น่ากลัวครับ ไม่ร้อนนี่แหละสึกหรอ (wearing) มาก

ผู้แสดงความคิดเห็น ขับ estate เก่าๆ วันที่ตอบ 2015-04-24 08:58:53 IP : 192.168.28.103


ความคิดเห็นที่ 2 (3402746)
avatar
ชวลิต

ความหนืดเท่ากับ 0W-20 เนื่องจากเป็น 0w เท่ากัน แต่ยังคงสภาพหนืดที่เหมาะสมในช่วงอุณหภูมิเครื่องยนต์สูง ๆ ได้ แต่ 0w-20 เมื่ออุณหภูมิเครื่องยนต์สูง ๆ น้ำมันเครื่องจะเหลวเหมือนน้ำและไม่สามารถหล่อลื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพ ผมวัดอัตราการสิ้นเปลืองขาลงใต้ได้ 16.2 กม./ลิตร เนื่องจากประสบกับรถติดยาวช่วงสงกรานต์ ส่วนขาขึ้น 17.3 กม./ลิตร เติมน้ำมัน E20 วิ่ง 110 -120 กม./ชม. จริง ๆ แล้วประหยัดกว่าด้วยครับ เพราะผมเคยวิ่งไปพิจิตรได้แค่ 17 กม./ลิตร เท่านั้นเอง ผมว่าส่งผลดีต่อเครื่องยนต์ในระยะยาวคือลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ได้ดี เมื่อก่อนไม่เคยได้ยินน้ำมันเครื่องสังเคราะห็ 0w-20 เพิ่งมาฮิตกันตอนมี Eco car ที่เน้นประหยัดและขับขี่ในเมืองเป็นหลัก แต่ไม่เหมาะจะเดินทางไกลนัก สำหรับคนรักรถก็อยากจะใช้งานมันนาน ๆ นำ้มันเครื่องก็มีส่วนมากที่จะลดการสึกหรอของเครื่องยนต์ครับ

 

ผู้แสดงความคิดเห็น ชวลิต (peterc-at-tstplaspack-dot-com)วันที่ตอบ 2015-04-23 13:16:11 IP : 115.87.105.79


ความคิดเห็นที่ 1 (3402738)
avatar
Non W. Presley

มันไม่หนืดไปเหรอครับ ตัวหลังเปลี่ยนจาก 20 เป็น 50 อาจทำให้อุณหภูมิทำงานของเครื่องยนต์และความสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงไม่ปกติ และส่งผลในระยะยาวก็เป็นได้นะครับ

ผู้แสดงความคิดเห็น Non W. Presley (nonwpresley-at-yahoo-dot-com)วันที่ตอบ 2015-04-23 10:51:34 IP : 203.116.87.162



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.