ทำได้ครับ แต่ความประหยัดได้ไม่ถึง 40% (เหมือนบางเจ้าที่อ้างกัน อาจเพราะว่าของเขาไปลดการจ่ายน้ำมัน หรือไปจูน ECU ก็ได้) ของเราทำโดยใช้กระแสจากแบตตารี่น้อยมาก ประมาณ 2 A. เท่านั้น โดยไม่แตะต้องระบบต่างๆของรถ เหมาะสำหรับรถดีเซลที่วิ่งทางไกลเป็นประจำ น้ำมันจากเดิมวิ่งได้ 13-14 กม./ลิตร จะทำให้วิ่งได้เพิ่มเป็น 16-17 กม./ลิตร  รถเบ็นซินได้เพิ่ม 1-2 กม./ลิตร ที่พูดว่าไม่คุ้มกับการใส่พลังงานเข้าไปมากกว่าพลังงานที่ได้ออกมา มันก็ไม่ถูกนะ อย่ามองเพียงด้านเดียว หรือถูกปลูกฝังความเชื่ออย่างนั้นมาตลอด ถ้ามันไม่คุ้มจริงๆ ทำไมผลลัพท์ที่มันออกมา น้ำมัน 1 ถัง ถึงวิ่งได้ระยะทางเพิ่มขึ้นเป็น 100 กว่า กม. แลกกับน้ำเพียง 100-200 CC ล่ะ มันต้องดูผลลัพท์สุดท้ายที่ออกมา ไฮโดรเจนที่เข้าไป แม้ไม่มากมายอะไร แต่ก็ทำให้การจุดระเบิด เผาไหม้เชื้อเพลิงดีขึ้น ประสิทธิภาพของการใช้เชื้อเพลิงเปลี่ยนเป็นพลังงานกลก็ได้ดีขึ้น น้ำมัน น่ะ ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเป็นพลังงานกลในรถยนต์ ได้เพียง 30 กว่า% เท่านั้น ได้ไฮโดรเจนเข้าไปเป็นเชื้อเพลิงร่วมก็อาจได้เพิ่มเป็น 40% ก็ทำให้ประหยัดไปได้บ้าง ก็แล้วแต่บางคนจะคิด ว่ามันคุ้มหรือไม่คุ้ม (เรื่องราคาของผม แค่ 6,900 บาทเท่านั้น) และไม่มีผลเสียกับเครื่องด้วย (ใครที่ไปติด LPG หรือ NGV ใช้ไป ปีสองปีแล้วเครื่องพัง ต้องยกเปลี่ยนเครื่อง ปตท. มันรับประกันหรือชดใช้ให้มั๊ย ก็ไม่มี เบ็ดเสร็จ ค่าติดตั้ง + ค่าแก๊ส + ค่ายกเครื่องใหม่ ก็เยอะอยู่นะ ลองรวมๆดูก็แล้วกัน ถ้าใช้น้ำ ก็เปรียบได้ว่า ใช้น้ำมันในราคาที่ถูกกว่าคนอื่น ประมาณ 20% เครื่องยนต์ก็ฟิตปั๋งไม่ต้องยกเปลี่ยนเครื่องทุกๆ 2-3 ปี ก็เหมาะสำหรับเป็นพลังงานทางเลือก สำหรับคนที่ไม่ชอบติดแก๊ส (เพราะ...กลัว)

และที่ว่าทำไม บริษัทรถถึงไม่ทำออกมาขาย ก็เพราะว่า (อันนี้ความคิดผมเอง อาจจะผิด หรือถูกก็ได้)

1. เป็นระบบผสม กลัวความยุ่งยากของผู้บริโภค ที่ต้อง Maintain ระบบน้ำ ซึ่งไม่เหมือน แก๊ส และน้ำมัน ที่เติมที่ปั้มแล้วก็ไป

2. กลัวว่าจะมีปัญหาในการร้องเรียนจากผู้บริโภค ที่ใช้แล้วอัตราการการประหยัดจะได้ไม่เท่ากัน (อันนี้ที่จริงใช้น้ำมันอย่างเดียวก็โม้ว่าประหยัดแล้ว ถังนึงวิ่งเหนือจรดใต้ 55555)

3. เป็นนโยบายของบริษัทรถ และบริษัท น้ำมัน ที่ไม่ต้องการเห็นกำไรที่ลดลง หากการใช้น้ำมันและแก๊ส ลดลง 20% อะไรจะเกิดขึ้น ลองคิดดู เงินหายไปเป็น แสนๆล้านเลยนะ ถ้าคิดเฉพาะประเทศไทย ใช้น้ำมันปีหนึ่ง หกแสนล้านบาท (อาจจะมากกว่านี้ถ้าจำไม่ผิด) ลดลง 20% = 120,000,000,000 บาท (หนึ่งแสนสองหมื่นล้านบาท)

4. อันนี้ก็สำคัญ รัฐเก็บภาษี ค่าน้ำไม่ได้เหมือน น้ำมันและแก๊ส เลยไม่สนับสนุน

มีจริงและทำได้แล้ว แต่เป็นเพราะตามที่คุณ "ลูกบอล" ว่าไว้ มันมีการทำให้โครงการนี้ไม่สำเร็จ

เพราะน้ำมันจะไร้ค่าทันที แล้วอะไรจะเกิดขึ้น เพราะฉะนั้นต้องรอน้ำมันหมดโลกก่อนครับ ถึงจะมีออก

พวกเราคงตายกันหมดแล้วละ

เอาลิ้งค์มาแปะไว้ให้ตามไปดูอีกทีครับ อ่านให้ครบทุกหน้าแล้วจะบรรลุมรรคผลครับ....อิอิอิ

เครื่องยนต์สันดาบภายในแบบใช้ไฮโดรเยนเป็นเชื้อเพลิงในโลกของความเป็นจริง

http://www.weekendhobby.com/offroad/newenergy/Question.asp?ID=1349

วิธีการทำ HHO Generator เพื่อแยกน้ำออกเป็นพลังงานไฮโดรเจนไปใช้ในรถยนต์/เครื่องกลทางการเกษตร

http://www.weekendhobby.com/offroad/newenergy/question.asp?id=1039

ตามไปดูเลยครับพี่

เอ่อ ผมว่าคงต้องรอให้น้ำมันหมดโลกก่อนครับ ถึงจะมีมาขาย  ถ้าลองหาข้อมูลนะ  BMW ก็มี Project รถใช้พลังงานจากน้ำ  ที่ไม่ใช่ ไฮโดรเจน แล้ว มีมาตั้งนานแล้ว แต่ถูกพับเก็บเข้ากรุ ไว้เพราะ บ.น้ำมันยักษ์ใหญ่ของโลก ออกมา ......  ก๊าาก ประมาณว่า  "เอ็งออกเมื่อไหร่ เอ็งตาย" ประมาณนั้น

ถ้าดีจริงคงเห็นวิ่งกันเกลื่อนเมืองเหมือนLPG/NGV เก็บเงินค่าติด ไว้เติมน้ำมันดีกว่ามั้ง

หลักการมันแยกน้ำได้จริง(เรียนตอน ม.3 วิทยาศาสตร์เมื่อ20ปีได้มั้ง)  แต่สำหรับติดตั้งในรถยนต์ มันคุ้มค่าหรือไม่ กับราคาติดตั้ง และจำนวนพลังงานที่ได้ ผมว่าปัจจุบันมังยังไม่ถึงจุดคุ้มทุนเลย พลังงานไฟฟ้าที่เอามาแยกน้ำนั้นก็ได้มาจากน้ำมันที่เติมรถนั่นแหละครับ

หลักการง่ายๆ สำหรับเทคโนโลยีง่ายๆ    เราจะไม่สามารได้กำไรจากการเปลี่ยนรูปพลังงานเลย

          พลังงานเข้า เท่ากับ  พลังงานออกที่ได้ ลบด้วย พลังงานที่สูญเสียในรูปต่างๆ(คือประสิทธิภาพของเครื่องเปลี่ยนพลังงานอย่างไรก็ไม่เกินร้อย%)

.............การโฆษณา ก็คือ การโฆษณา   แต่ถ้าของเขาดีจริง ไม่ต้อง การโฆษณา ลูกค้าจะบอกต่อเอง............

ผมว่ามันโม้ ถ้าทำได้จริงป่านนี้ บริษัทรถยนต์แย่งกันซื้อตัวปแล้วครับ ไม่ต้องมานั่งขายเองหรอก ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้รถเติมน้ำประปาแล้ววิ่งได้จังครับ แต่อย่าเลยแค่นี้รถก้เต็มท้องถนนจนไม่มีที่วิ่งกนแล้ว