ควรจะเปิดกระจกลงสัก 2-3 นาทีเพื่อระบายความร้อนออกจากตัวรถแล้วค่อยเปิดแอร์

ไม่ควรเอาไฟแช็คแกสวางบริเวณที่แดดส่องถึงเพราะเดี๋ยวไฟแช็คระเบิดนะครับ

แถมยางกะคอนโซลด้วยนะ คุณลูกบอล

แถมเป็นเคล็ดไว้อีกนิดครับสำหรับท่านที่มีซันรูฟหรือมูนรูฟก็ตาม ท่านจะได้ใช้ซันรูฟของท่านให้มีประโยชน์ตอนนี้แหละครับ โดยการเปิดซัน  รูฟของท่านไว้สักพักหนึ่ง อากาศภายในจะเย็นลงอย่างรวดเร็วครับ เพราะอากาศร้อนจะลอยตัวขึ้นสูงอยู่บริเวณหลังคา ลองนึกถึงโคมลอยดูสิครับ

พอเราเปิดซันรูฟแล้วอากาศร้อนจึงออกไปเร็วมาก ยิ่งถ้าเปิดหน้าต่างด้วย อากาศเย็นที่อยู่ต่ำกว่าจพเข้ามาทางหน้าต่างครับ

ใครว่าอยู่เมืองร้อนซันรูฟไม่มีประโยชน์ 5555

เครื่องอ่ะมันไม่เป็นไรหรอกครับ ที่ น่าห่วงอ่ะ คือสี ตะหากครับ

รถใหม่จอดตากแดด กับรถเก่าที่เก่าแล้วจอดตากแดด อายุการใช้งานแตกต่างกันแน่ ความสดไม่เหมือนกัน รถใหม่รองจอดสัก 5 ปีซิ ฮ่าๆๆๆๆๆๆ

ขออธิบายแบบนี้ก่อนว่าพวกน้ำมันทั้งหลายของคุณนั้น ถ้าเวลาเครื่องยนต์ทำงาน ความร้อนจากเครื่องยนต์มันร้อนมากกว่าที่คุณจอดตากแดดมากมายหลายเท่าครับ การเอาไปจอดทิ้งไว้ น้ำมันเหล่านี้ไม่มีผลแต่อย่างใด ส่วนที่บอกว่ารถไปจอดทั้งวัน ภายในรถมันร้อน ซึ่งต้องยอมรับว่าจริง ทางออกคือเปิดกระจกแง้มไว้สักนิด ไม่ต้องมาก เพราะถ้ามากไปเดี๋ยวรถหายอีก เพื่อให้อากาศร้อนสามารถระบายออกมาได้จะช่วยได้มาก ส่วนที่คุณคิดว่าพอสตารท์รถแอร์จะเย็นช้า สาเหตุมันเพราะภายในรถคุณถูกอบมาอย่างกับหมูแดดเดียว แอร์จะต้องทำงานลดอุณหภูมิความร้อนของเก้าอี้และภายในของรถทั้งคัน จึงทำให้เกิดความรู้สึกว่าแอร์ทำงานช้าลงครับ ทางออกอีกทางคือหาพวกวัสดุบังแดดมาวางบังตรง Console ด้านหน้าเพื่อลดไม่ให้ด้านหน้าต้องตากแดดแบบจังๆ อาจจะช่วยลดความร้อนลงได้บ้างครับ อีกอย่าง เปิดรถโดยเปิดประตูทุกบานออกแล้วระบายความร้อนสัก 5 นาทีก่อนสตารท์เครื่องและเปิดให้แอร์ทำงาน จะช่วยได้บ้างครับ   

ขออนุญาตแสดงความเห็นบ้างนะครับ  ผมว่ามันมีข้อแตกต่างกันระหว่างรถที่จอดรอส่งขึ้นเรือในลานจอดกลางแจ้งกับรถที่ใช้ในชีวิตประจำวันแล้วจอดตากแดด คือ รถที่รอส่งมอบมันจอดอยู่เฉยๆ มีแดด มีฝุ่น  มีฝน แต่ไม่ได้เจอสภาวะอากาศที่เปลี่ยนแปลงมากๆ เหมือนในเมืองที่ต้องขับรถไปในที่ต่างๆที่เราไป เจอการเปลี่ยนแปลงมาก ตื่นเช้ามาน้ำค้างเกาะ ขับออกมา เจอลมน้ำค้างแห้ง  ฝุ่นเกาะเป็นคราบ  ขับตามหลังรถควันดำเกาะติดรถ  ผมว่าปัจจัยพวกนี้เป็นตัวเร่งปฏิกริยา ทำให้เสื่อมสภาพ(ภายนอก,สี,ดวงโคม,วัสดุต่างๆที่สัมผัสแสงแดดโดยตรง) เร็วกว่ารถที่จอดรอส่งมอบที่ท่าเรือนะครับ ในระยะยาวน่าจะไปเร็วกว่า  แต่ภายในเครื่องยนต์ต่างๆ น่าจะขึ้นอยู่กับการบำรุงรักษามากกว่าครับ  แต่ถ้าไม่คิดมากเรื่องความสวยงามภายนอกที่ต้องใหม่เสมอ  ก้อคิดซะว่าเราซื้อรถมาใช้งานเพื่อให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น  รถมันจะเก่าเร็วแต่ยังพาเราไปถึงจุดหมายได้เหมือนคนอื่นก้อไม่ต้องคิดมากครับ  (สมัยเรียนผมมีเพื่อนขับเบนซ์มาเรียน  จอดข้างหอพัก โดนปูนจากไซท์คนงาน ที่ฉาบอยู่สลัดมาโดน ทั่วคัน  เอาไปล้าง ขัดสี ก้อล้างไม่ออก  เพื่อนผมก้อบอกว่ารถมันยังขับได้  พาเพื่อนไปเที่ยวได้  รุ่งขึ้นก้อลืมแล้วว่าโดนน้ำปูนมา  อยู่ที่มุมมองของเราด้วยนะครับ )

ที่น่าเป็นห่วงกว่าคือพวกเจลหอม น้ำหอมที่ใช้ในรถ จะระเหยออกไปจับตามครีบคอยแอร์ (ในกรณีที่รถคุณไม่มีฟิลเตอร์แอร์)และจะทำให้ตู้ตันเร็ว และเหม็นง่ายครับ

ไม่เป็นหรอกครับ  งั้นรถที่เขาส่งออกขายจอดอยู่ที่ท่าเรือนานเป็นเดือนก็ขับไม่ได้น่ะสิครับ    ต้องเอารถมาลากขึ้นเรือ  เพราะความร้อนมันไม่ถึงกับทำให้น้ำมันเครื่องแห้ง  น้ำแห้ง ไม่มีทางเป็นไปได้นอกจากจะมีรอยรั่วเท่านั้น  เพราะความร้อนมันไม่ได้ทำให้ของเหลวพวกนี้ระเหยหายไปเพราะมันอยู่ในภาชนะปิด  เหมือนกับคุณลองเอาน้ำใส่ขวดตากแดดทั้งวัน  สัก 1 อาทิตย์ดูสิว่าน้ำใสขวดมันจะหายไปไหม อาจจะมีบ้างแต่ก็นิดเดียวเพราะมันเกิดการระเหิดไม่ได้ระเหย มันยังคงอยู่ในภาชนะปิด เช่นเดียวกันแหละครับ ไม่น่าห่วง ห่วงแต่ภายในรถมันจะกรอบพวกเบาะ คอนโซลมันตากแดดนาน  เท่านั้นเอง