โตโยต้า เวนจูรี่ รุ่นปี 2557 ได้รับการดีไซน์โฉมใหม่ เพิ่มความหรูหรา ทั้งภายนอกและภายใน      ไม่ว่าจะเป็น กระจังหน้าและกันชนหน้าดีไซน์ใหม่ ไฟหน้า LED เปิด-ปิด และปรับระดับสูง-ต่ำ แบบอัตโนมัติ (มีเฉพาะรุ่น V-Grade) ไฟตัดหมอก ประตูสไลด์ไฟฟ้าอัตโนมัติ ด้านซ้ายและขวา พร้อมระบบป้องกันการหนีบ (มีเฉพาะรุ่น V-Grade )  ไฟท้าย และคิ้วขอบป้ายทะเบียนหลัง ดีไซน์หรู และล้อแม็ก ดีไซน์ใหม่

ในส่วนของภายใน แผงคอนโซลเน้นโทนสีเข้ม มาตรวัดเรืองแสง Optitron ดีไซน์ใหม่ พร้อมจอแสดงผลข้อมูลการขับขี่ (MID) เบาะนั่ง Captain Seat ปรับหมุนได้ 180 องศา สำหรับผู้โดยสารตอนหลัง แถวที่ 1 กุญแจ Smart Key ป้องกันการโจรกรรม Immobilizer พร้อมระบบ Push Start และ Smart Entry    (มีเฉพาะรุ่น V-Grade ) กระจกมองหลัง ปรับลดแสงทะท้อนแบบอัตโนมัติ (EC Mirror) พร้อมแสดงภาพขณะถอยหลังจากกล้องมองหลัง (มีเฉพาะในรุ่น V-grade) และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ  (มีเฉพาะในรุ่น V-grade)

นอกจากนี้ ยังเพลิดเพลินด้วย เครื่องเสียงใหม่ขนาด 2DIN DVD MP3 USB AUX พร้อมรีโมทในรุ่น V-Grade และ ขนาด 2DIN 1CD MP3 USB AUX ในรุ่น G-Grade   จอหลังขนาด 10.2 นิ้วใหม่       พร้อมรีโมทควบคุมการทำงาน (มีเฉพาะรุ่น V-Grade) รวมทั้งช่องต่อ USB และช่องจ่ายกระแสไฟฟ้า 12 โวลต์    2 ตำแหน่ง  สำหรับผู้โดยสารแถวหลัง และผู้ขับขี่

โตโยต้า เวนจูรี่  มาพร้อมกับเครื่องยนต์ เบนซิน 2.7 ลิตร  4 สูบ DOHC  16 วาล์ว VVT-I   มีแรงม้า 151  แรงม้าที่  4,800 รอบต่อนาที  แรงบิด 241 นิวตัน-เมตรที่ 3,800 รอบต่อนาที  และเครื่องยนต์ดีเซล      3.0 ลิตร D4D คอมมอนเรล  DOHC 16 วาล์ว เทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ 136 แรงม้าที่ 3,400 รอบต่อนาที  แรงบิดมากถึง 300 นิวตัน-เมตรที่ 1,200-2,400 รอบต่อนาที

ด้านความปลอดภัย มีให้พร้อมสรรพ อาทิ ระบบ ABS ที่จะทำงานร่วมกับ ระบบกระจายแรงเบรก Super LSPV  และระบบ  BA (Brake Assist) ช่วยให้การเบรกมีประสิทธิภาพ เบาะนั่งแบบ WIL Concept โอบกระชับแผ่นหลังและศีรษะ ช่วยลดอาการบาดเจ็บของกระดูกต้นคอ กรณีถูกชนด้านหลัง ถุงลมนิรภัยบริเวณผู้ขับขี่ และผู้โดยสารตอนด้านหน้า พร้อมเข็มขัดนิรภัยที่นั่งด้านหน้า แถวที่ 1 (Front seatbelt) ELR ยึด 3 จุด 2 ที่นั่ง พร้อมระบบดึงรั้งกลับ อัตโนมัติ  เป็นต้น

โดยมีให้เลือกด้วยกัน  2 สี  คือ  สีขาวมุก – White Pearl  และ สีดำเมทัลลิค – Black Mica  (เฉพาะรุ่น V-Grade )   สำหรับราคาจำหน่าย   รุ่น V-Grade   ดีเซล 3.0 ลิตร   ราคา 1,645,000   บาท รุ่น G-Grade ดีเซล 3.0 ลิตร  ราคา 1,432,000  บาท และ  รุ่น G-Grade  เบนซิน 2.7 ลิตร   ราคา  1,354,000 บาท

ขอบคุณคุณสงครามที่จำได้นะครับ... :)

ผมใช้รุ่นเกียร์ธรรมดามาตั้งแต่ พ.ค.51 กับระยะทางเกิน 160,000 กม.แล้วครับ ไปทุกภาค ขึ้นเขาลงห้วยยังไม่พบปัญหาอะไรเลยครับ

> ข้อดี

- อัตราเร่งดีกว่าเยอะ เครื่องเล็กแต่แรงกว่า Ventury ครับ Ventury เครื่องตัวเดียวกับ Vigo 3.0 ลิตร 171 แรงม้า 360 นิวตัน-เมตร ส่วนเจ้า H1 อยู่ที่ 175 แรงม้า 392 นิวตัน-เมตร (ตัวใหม่รุ่นเกียร์อัตโนมัติกระฉูดกว่าเดิมเพราะแรงบิดเพิ่มเป็น 440 นิวตัน-เมตร)

- ทนกว่าด้วยเพราะใช้โซ่ขับราวลิ้น ฝาสูบ กระบอกสูบแกร่งกว่าเพราะมีพื้นฐานมาจากบล็อก 4D56 มาอย่างยาวนานที่วางใน Cyclone, Pajero มาจนพัฒนาเป็นระบบคอมมอนเรลใน Triton แต่นำมาพัฒนาฝาสูบและเปลี่ยนเป็นโซ่เอง

- ช่วงล่างเกาะถนนกว่า ไม่โยนตัวน่าเวียนหัว

- วงเลี้ยวแคบ ควบคุมง่าย คล่องตัวกว่า (พอๆ กับรถเก๋งขนาดกลางแบบ Teana, Camry)

- ค่าใช้จ่ายในการซ่อมบำรุงพอๆ กับรถกระบะ ครั้งละ 2 พันกว่าบาท เช็คใหญ่ก็ 4 พันกว่าบาท

- แอร์เย็นและทั่วถึงกว่า

- ไม่ต้องมาแต่งเพิ่มอีกเป็นแสนเหมือนตู้ของ TOYOTA

> ข้อเสีย

- ศูนย์บริการน้อย (ผมใช้ศูนย์บางนามาตั้งแต่เปิด ดีที่สุดแล้วครับ) >> ถ้าคุณมองข้อนี้เป็นสำคัญ คุณก็มองข้าม H1 ไปเลยครับ สำหรับผมใช้ยาว ไม่สนราคาขายต่อ เน้นความสบาย ปลอดภัย และประหยัดให้กับครอบครัวดีกว่า

 จริง ๆ ผู้ที่ใช้ h 1  ในบอร์ด (คุณนนท์) ซึ่งใช้มาเกินแสนโล  น่าจะตอบได้ดีที่สุด  ผมจึงไม่ขอออกความเห็น   และดูแล้วคุณน่าจะเลือกอีกตัวมากกว่า ตามสองบรรทัดสุดท้าย  ซึ่งตัวเลือกก็เหลือแค่ตัวเดียวจริง ๆ....