คุยเรื่องธุรกิจแบบก้าวต่อก้าว กว่าจะเป็น ...Mitsu Impression
จากผู้ที่ทำธุรกิจให้บริการด้านรถยนต์ (KCAR Group) ก้าวเข้าสู่อีกหนึ่งบทบาท การเป็นผู้แทนจำหน่ายรถยนต์อย่างเป็นทางการ “Mitsu Impression” วันนี้เราจะมาร่วมพูดคุยกับ คุณธนพล สมิตะโยธิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิตซู อิมเพรสชั่น จำกัด ผู้จำหน่ายรถยนต์ มิตซูบิชิ อย่างเป็นทางการ ถึงที่มาและเป้าหมายหลักของ Mitsu Impression โชว์รูมและศูนย์บริการแบบครบวงจรที่ใหญ่ที่สุดบนถนนรามคำแหง
- กว่าจะเป็น Mitsu Impression
จริงๆ ทางเราทำธุรกิจเกี่ยวกับรถยนต์มาก่อนอยู่แล้วในนามของกลุ่ม KCAR Group ซึ่งปกติผมทำงานในส่วนของ KCAR Group อยู่แล้ว แต่สักช่วงต้นปี 2019 ถึงเริ่มสนใจอยากทำอะไรที่เป็นของตัวเอง จากนั้นผมก็มาคุยกับเจ้านายและก็ได้มาเป็นหุ้นส่วนกันในฐานะผู้แทนจำหน่ายมิตซูบิชิ โดยทางด้านมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ได้แนะนำ 2 ตัวแทน เพื่อให้เราเลือกเทคโอเวอร์ ก็เลือกที่ Impression ซึ่งใช้เวลาเจรจาเบ็ดเสร็จ จนมาเริ่มกิจกรรมจริงๆ ก็ 1 กรกฎาคม 2019 หลังจากนั้นก็ใช้เวลาในการปรับปรุงโชว์รูมไปด้วย ขายไปด้วย จัดตั้งทีมงานไปด้วย เสร็จทุกอย่างจริงๆ ก็สักปลายเดือนมกราคม 2020 ทั้งหมดนี้ก็คือที่มาของ Mitsu Impression แห่งนี้ครับ
- พูดถึงโชว์รูม Mitsu Impression กันสักหน่อย
โชว์รูมแห่งนี้เป็นแบบ 3S ครับ (งานขาย งานบริการหลังการขาย และงานด้านอะไหล่) เนื้อที่ทั้งหมดอยู่ที่ประมาณ 10 ไร่ ตัวโชว์รูมสามารถโชว์รถได้ถึง 8 คัน ซึ่งก็รองรับไว้สำหรับการเปิดตัวของรถรุ่นใหม่ๆ ของทางด้านมิตซูบิชิ ส่วนทางด้านของศูนย์บริการเอง เมื่อเทียบกับจำนวนบุคลากรและพื้นที่ที่เราเตรียมไว้ ก็สามารถรองรับได้เดือนละสักประมาณ 1,500 คัน ส่วนทางด้านอู่ตัวถังและสี สามารถรองรับได้ประมาณ 200 คัน
- มองเห็นศักยภาพอะไร ถึงตัดสินใจเลือกแบรนด์ Mitsubishi
ปัจจัยแรกเลยคือ บริษัทหรือแบรนด์ต้องเปิดรับ ส่วนที่ 2 ก็คือความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ซึ่งมิตซูบิชิเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่นๆ ความหลากหลายจะเยอะที่สุด ส่วนที่ 3 ก็คือเรื่องความน่าเชื่อถือของผลิตภัณฑ์ ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าเขาติดอันดับ 1 ใน 3 หรือ 1 ใน 4 เราก็มองว่า เอาล่ะ! มันคือโอกาสหนึ่งที่เราควรจะเลือก และอีกปัจจัยหนึ่งก็คือตัวเราเองด้วย เพราะมิตซูบิชิตอบโจทย์ในเรื่องที่เรามีความชำนาญ นั่นคือในเรื่องของรถฟลีท (Fleet) ไม่ว่าจะเป็นเอกชนหรือว่าหน่วยงานราชการ ส่วนใหญ่แล้วจะใช้รถกระบะค่อนข้างเยอะ ซึ่งถ้าไปเลือกแบรนด์อื่น โอกาสในการขายก็จะลดน้อยลง
- วางเป้าหมายยังไงในการขายปลีกกับงานขายฟลีท
เราจะแยกฝ่ายในการทำงานครับ เพราะถ้าเรามองตลาดแค่ลูกค้าหน้าร้านอย่างเดียว เราก็จะมีลูกค้าแค่ในร้าน ฉะนั้นเราต้องมองที่ช่องทางขายที่หลากหลาย เซลส์หน้าร้านคือช่องทางหนึ่ง เซลส์ขายออนไลน์ก็อีกส่วนหนึ่ง หน่วยงานที่เป็นฟลีททางเอกชนก็อีกส่วนหนึ่ง หน่วยงานที่เป็นฟลีทเอกชนรถเช่าก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง แล้วก็ทางส่วนฟลีทราชการก็เป็นอีกส่วนหนึ่ง เราจะมองไว้เป็น 5 กลุ่มหลัก ฉะนั้นเป้าหมายของเราจริงๆ มองไว้อยู่ที่ 100 คันต่อเดือนโดยเฉลี่ยทั้ง 5 กลุ่ม แต่ว่าตัวเลขมันจะไม่พอดีกันในทุกๆ เดือนอยู่แล้ว เพราะว่างานราชการเองจะมีช่วงเวลาที่ใช้ประมูล แล้วก็มีช่วงเวลาส่งมอบ
- ช่วงสถานการณ์ Covid 19 มีการปรับแผนการดำเนินงานยังไงบ้าง
ผมมองว่าเป็นโอกาสนะ เพราะผมต้องการให้โชว์รูมเราเป็นที่รู้จัก ให้เป็น ‘Best in town’ พอช่วงสถานการณ์ โควิด-19 ลูกค้ามาโชว์รูมน้อยลง ทางทีมงานของเราก็ออกไปทำให้โชว์รูมเราเป็นที่รู้จัก มีการออกไปพ่นน้ำยาฆ่าเชื้อโควิด-19 ให้กับลูกค้า ไปพ่นตามบ้าน ตามรถ ตามสถานที่ต่างๆ แล้วพอสถานการณ์ดีขึ้นก็กลายเป็นอานิสงส์กลับมา ลูกค้าศูนย์บริการนี่เห็นได้ค่อนข้างชัด จากก่อนหน้านั้นวันหนึ่งมีอยู่ประมาณ 7-8 คัน ตอนนี้ขึ้นมา 15 คัน ในส่วนของพนักงานไม่ได้ลดกำลังคนลง แต่ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้เราดูแลเขาได้ พอดีกับที่เราแยกการทำงานเป็นทีม ทีมออนไลน์จะทำงานทุกวัน แต่ทางด้านเซลส์หน้าร้านจะมีเวรสลับกันทำงาน เมื่อไม่มีลูกค้าเข้าโชว์รูมเซลส์หน้าร้านก็ต้องปรับตัวมาทำออนไลน์ด้วย เขาก็จะมีเงินเดือนและมีงานทำทุกวันนั่นเอง
- ความสะดวกสบายในการเข้ามารับบริการ และสิ่งที่อยากพัฒนาปรับปรุงในอนาคต
เริ่มตั้งแต่ด้านการมองเห็นก่อนเลยนะครับ บอกตามตรงว่าตอนนี้เรายังติดปัญหาเรื่องป้ายขนาดใหญ่ทางด้านหน้าทางเข้า ซึ่งเกี่ยวข้องกับเรื่องของแนวการก่อสร้างรถไฟฟ้า อาจจะมองไม่สะดวกนัก แต่เมื่อเข้ามาด้านในแล้ว เรื่องของสถานที่ และอะไรต่างๆ ผมว่ามีไว้รองรับลูกค้าเพียงพอ ซึ่งอนาคตอาจจะปรับปรุงในส่วนของห้องให้บริการลูกค้าเพิ่มเติม ปรับปรุงบรรยากาศให้ลูกค้าอยู่กับเราให้นานขึ้น เรียกง่ายๆ ว่า ถ้าลูกค้าเข้ามาศูนย์บริการเราแล้วใช้เวลาอยู่ในนี้สัก 1-2 ชั่วโมงแล้วไม่รู้สึกอึดอัด ผมถือว่าผมตอบโจทย์แล้ว และด้วยแนวทาง ‘Best in town’ ผมเลยมองถึงพื้นที่ด้านหลังโชว์รูมที่ว่างอยู่พอสมควร ในอนาคตเราอาจจะทำเป็นห้องกิจกรรมที่ให้ทางด้านชุมชนได้มาใช้หรือทำอะไรต่างๆ เพื่อต่อยอดอีกก็เป็นได้
- พูดถึงเรื่องบริการหลังการขายกันบ้าง
เราต้องการให้ลูกค้าอยู่กับเราเหมือนเป็น One stop service จะทำยังไงให้ลูกค้าวนลูปกลับมาหาเราอีกครั้ง หลังจากลูกค้าออกรถไปแล้ว อายุรถที่ลูกค้าใช้งาน 5-6 ปี จะมีโอกาสเข้ามาหาเรากี่หน แน่นอนว่าศูนย์บริการมีหลากหลาย จะทำยังไงให้เขาเข้ามาผูกอยู่กับเรา ซึ่งจะมีช่วงหลังจากออกรถไปแล้ว 6 เดือน เราก็จะเริ่มคุยกับลูกค้า เรื่องของการต่อประกัน หรือแม้แต่เรื่องของการต่อทะเบียน ก็จะเป็นการบริการหนึ่งของเราที่จะดึงลูกค้าเอาไว้ อีกจุดหนึ่งที่เราดึงไว้ได้คือ การซ่อมตัวถังและสี ถ้าเกิดลูกค้าใช้รถมา 6 ปี มันก็จะกลายเป็นเบี้ยซ่อมอู่โดยอัตโนมัติ แต่ผมขายเรทเบี้ยซ่อมอู่ที่สามารถซ่อมห้างได้โดยไม่มีส่วนต่าง ลูกค้าก็สามารถเข้ามาซ่อมกับทางผมต่อได้แม้อายุรถจะเกินกำหนดมาแล้ว
- วัดระดับความประทับใจของลูกค้าที่เข้ามาใช้บริการยังไง
ทางด้านมิตซูบิชิ มอเตอร์ส จะมีการสอบถามค่า CSI ความพึงพอใจของลูกค้า แต่ผมให้ความสำคัญอยู่ 2 ข้อ นั่นคือ จะมีคำถามหนึ่งถามว่า ‘คุณจะกลับเข้ามาใช้บริการที่นี่อีกไหม’ กับอีกคำถามที่ถามว่า ‘ถ้ามีโอกาสคุณจะแนะนำคนอื่นมาใช้บริการของเราหรือเปล่า’ ถ้าเขาให้คะแนนทุกเรื่องดีหมดเลย แต่เขากลับบอกว่าจะไม่กลับมา หรือตอบว่าเขาไม่แนะนำ ก็แสดงว่าคำตอบก่อนหน้านี้คงแค่ตอบด้วยความเกรงใจ ผมเลยยึดคำถาม 2 ข้อนี้เป็นหลัก ซึ่งจะเป็นตัวที่ค่อนข้างชัดเจนและเท็จจริงมากกว่าครับ
🔴 🔴 🔴 🔴 🔴