Royal Enfield Himalayan ซีซีน้อย แต่ขี่อร่อยเว่อร์
Royal Enfield Himalayan รถสไตล์แอดเวนเจอร์ทัวริ่ง ขนาดตัวรถไม่ใหญ่ น้ำหนักไม่มาก ตัวรถไม่สูงมาก เหมาะกับคนขี่ไซซ์เอเซีย ซึ่งทำให้ขับขี่ได้สนุกทุกสภาพถนน
ด้านหน้าของตัวรถ Royal Enfield Himalayan ใช้ไฟหน้าขนาด 7 นิ้ว ทรงกลมสไตล์คลาสสิก ด้านบนไฟหน้ามี วินด์ชิลด์แบบใส ซึ่งเหมาะสำหรับเดินทางไกล ใช้ความเร็วสูง เพราะชิลด์ที่ให้มาค่อนข้างสูงทำให้ลมไม่ปะทะตัว ช่วยลดอาการล้าเวลาขี่นานๆ ได้
มาต่อกันที่เรือนไมล์ที่ให้มานั้น มีด้วยกัน 2 วงกลมและ 1 วงรี เริ่มที่ตัววัดวัดความเร็วรอบเป็นแบบเข็มมีทั้งบอกความเร็วเป็นกิโลเมตรต่อชั่วโมง และเป็นไมล์ต่อชั่วโมง อย่าดูความเร็วผิดล่ะ แต่ความเร็วสูงสุดที่ Royal Enfield Himalayan ทำได้อยู่ที่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงบวกลบนิดหน่อย ส่วนไมล์ดิจิทัลจะแสดงผลครบครัน มีทั้งทริปรวม ทริป A และทริป B บอกตำแหน่งเกียร์ นาฬิกา อุณหภูมิอากาศ อีก 1 วงคือตัววัดรอบเครื่องยนต์ ที่บอกได้ถึง 9,000 รอบ แต่ เรดไลน์เริ่มต้นที่ 6,500 รอบต่อนาที ถัดลงมาอีก 1 วงรี คือที่บอกปริมาณน้ำมันในถังและอีก 1 คือ สำหรับนักเดินทางที่ชำนาญการมองเข็มทิศจะต้องชอบ เพราะทางโรงงานได้ติดตั้งมาด้วย
ส่วนแฮนด์บาร์ที่ให้มาพอเหมาะกับขนาดตัวรถที่ใช้งานในเมืองได้คล่องตัว เว้นเสียแต่ไปติดการ์ดแฮนด์เพิ่มเติม อาจจะซอกแซกลำบากนิดนึง แต่ขึ้นอยู่กับความคุ้นชินของตัวผู้ขับขี่ ซึ่งบริเวณประกับแฮนด์ทางด้านขวาจะมีปุ่มสวิตช์ Off-Run เครื่องยนต์ ถัดลงมาเป็นปุ่มเปิด-ปิดไฟฉุกเฉิน และด้านล่างสุดเป็นปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ ส่วนประกับทางด้านซ้ายมือ จะมีสวิตช์ไฟสูง-ไฟต่ำ ไฟเลี้ยว แตร และ ไฟ pass หรือ การกระพริบไฟหน้ารถ
ด้านความสูงเบาะของ Royal Enfield Himalayan มีความสูงเพียงแค่ 800 มิลลิเมตรซึ่งอย่างที่บอกไปตอนต้นว่า กำลังดีเลย เหมาะกับคนขนาดตัวคนเอเซีย มันทำให้ขยับตัวได้ง่าย ยิ่งระยะสูงจากพื้นถึงตัวรถแค่ 220 มิลลิเมตรเท้าไม่เขย่งมาก ตัวเบาะไม่นุ่มมากและเบาะนั่งจะเป็นแบบ 2 ตอน ช่วงเบาะนั่งของคนขับกระชับมากไม่สูงจนเกินไป คนนั่งละโดนลมปะทะแค่หมวกกันน็อก ส่วนตำแหน่งที่พักเท้านั้น เหมาะกับการขับขี่ทุกสภาพถนน ทั้งท่านั่งขี่หรือยืนขี่รู้สึกสบาย กระชับ ประกอบกับถังน้ำมันที่ออกแบบมาได้ค่อนข้างลงตัว ถ้าเวลานั่งขี่ ช่วงหัวเข่าหรือบต้นขาจะสามารถหนีบถังน้ำมันได้พอดี กับช่วงเว้าตรงถังน้ำมัน ทำให้มั่นคงเวลาใช้ความเร็วและเวลาเข้าโค้ง ส่วนเวลายืนก็หนีบขาบริเวณได้พอเหมาะ ทำให้ตัวรถมั่นคงเวลาลุยทางฝุ่น
เครื่องยนต์ที่ Royal Enfield Himalayan ให้มาเป็นเครื่องยนต์ 4 สปีด 1 สูบ 411 ซีซี พละกำลัง 24.3 แรงม้า 6,500 รอบต่อนาที และแรงบิด 32 นิวตันเมตรที่ 4,250 รอบต่อนาที อัตราเร่งค่อนข้างดี ขับขี่สนุก ต้องบอกก่อนเลยว่า 0-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง รอบมาไวพอสมควร และถ้าขี่ความเร็วเกินกว่า 120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงอาจจะหนืดนิดหนึ่ง แต่อย่างที่บอกตอนต้นเต็มที่เลยได้แค่ 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมงแต่ถ้าจะดันเครื่องยนต์ให้ถึง 140 กิโลเมตรต่อชั่วโมง มันต้องเค้นเครื่องมาก เครื่องจะออกอาการสั่นให้เห็นพอควร ความคิดเห็นส่วนตัว ความเร็วที่ขี่สนุกในทางดำคืออยู่ที่ประมาณ 100-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมง
ช่วงล่างด้านหน้าของ Royal Enfield Himalayan เป็นแบบเทเลสโกปิกขนาด 41 มิลลิเมตรระยะยุบตัว 200 มิลลิเมตรให้อารมณ์การขับขี่นุ่มหนึบ ลุยได้ทุกสภาพถนน แต่ถ้าต้องการลุยหนักๆ คงต้องปรับปรุงช่วงระบบกันสะเทือนหน้าพอสมควร ระบบเบรกด้านห้าใช้แบบดิสก์เบรกหน้าเดี่ยวขนาด 300 มิลลิเมตร และคาลิปเปอร์เบรกแบบ 2 พ็อต จาก BYBRE ระบบเบรกแบบ ABS ทั้งหน้าและหลัง วงล้อด้านหน้าแบบซี่ลวดขนาด 21 นิ้ว ขนาด 90/90-21 นิ้ว แบบมียางใน โดยใช้ยาง Pirelli MT 60 วิ่งได้ทั้งทางถนนดำและทางฝุ่น
ส่วนระบบกันสะเทือนหลังเป็นแบบช็อกเดี่ยวและกระเดื่อง ระยะยุบ 180 มิลลิเมตรถ้าถนนดำก็ให้ฟีลนุ่มหนึบ สบาย คนนั่งหลังก็สบาย หรือจะติดปี๊บเพิ่มสักใบก็กำลังพอดี แต่ถ้าอยากแบกสัมภาระเยอะๆ ปี๊บ 3 ใบ อันนี้ต้องปรับเปลี่ยนกันพอสมควร ดิสก์เบรกหลังเดี่ยวขนาด 240 มิลลิเมตรคาลิเปอร์เบรกแบบ 1 พ็อต จาก BYBRE ล้อด้านหลังเป็นแบบซี่ลวดขนาด 17 นิ้ว ขนาด 120/90-17 นิ้วแบบมียางในของ Pirelli MT 60 วิ่งได้ทั้งทางถนนดำและทางฝุ่น
ของมันต้องมีอีกอย่างหนึ่งนั่นคือการ์ดอกล่างที่ Royal Enfield Himalayan ให้มานั้น ถือว่าดีมากๆ ไม่ต้องซื้อออปชั่นเสริมเอง แถมการใช้งานนั้นก็ยังกันหินดีดเข้าเครื่องและยังกันหินก้อนใหญ่ๆ กระแทกเข้าเครื่องยนต์โดยตรงอีกด้วยครับ รุ่นพี่หลายๆ รุ่นยังไม่มีอุปกรณ์นี้มาให้ ซึ่งต้องย้ำว่าอกล่างแบบนี้มันจำเป็นมากสำหรับรถสายลุย
ส่วนบังโคลนหน้า 2 ชิ้นที่ Royal Enfield Himalayan ให้มานั้น ทำหลายๆ คนงง ว่าให้มาทำไมถึง 2 ชิ้น มันมีเหตุและผลดังนี้ บังโคลนหน้าที่อยู่ด้านล่างเอาไว้กันน้ำดีด ที่เราๆ ท่านๆ ขี่บนถนนดำปกติทั่วไป ส่วนบังโคลนอันบนเอาไว้ใช้งานบนเส้นทางสายฝุ่น สายโคลน สายเลน เอาไว้กันหินกระเด็นเหมือนบังโคลนด้านล่าง แต่สำหรับสายลุยจริงจังจะถอดบังโคลนล่างออก เพื่อเอาไว้ลุยดินเหนียวๆ ได้ดีเลยเพราะบนเส้นทางแบบลุยโคลน ลุยป่า บังโคลนต่ำใช้ไม่ได้เพราะล้อจะติดดินเหนียวจนล้อไม่สามารถหมุนได้ ทาง Royal Enfield Himalayan เข้ามองออกเลยจัดมาให้ ซึ่งถือว่าดีเลย
สรุปว่าการใช้งานทั่วๆ ไป Royal Enfield Himalayan สามารถขับขี่ในเมือง รถติดๆ มันสามารถซอกแซกได้ง่าย ด้วยที่ตัวรถค่อนข้างสูง ทำให้แฮนด์และกระจกมองด้านข้างไม่ติดรถอื่นๆ ยกเว้นรถกระบะ รถเอสยูวี รถบรรทุก หรือรถที่มีความสูงกว่ารถเก๋งปกติ หรือจะเอาไว้ลุยก็ไปได้สบายๆ ตัวรถไม่หนัก เวลาลุยโคลน ลุยป่า ยังใช้ขายันได้สบาย เวลาล้มก็ยกได้สบาย ไม่หนักมาก แต่อย่าล้มบ่อย เดี๋ยวยกไม่ขึ้นเพราะร่างกายจะล้าแล้วทำให้รถหนักขึ้น หรือไม่ชอบลุย สายเดินทางไกล ก็ถือว่ากำลังดี ขี่เรื่อยๆ ชิลๆ เหมาะสมกับราคา
ใครที่อยากมีมอเตอร์ไซค์ที่ตอบโจทย์ทุกการใช้งานทุกการเดินทาง ราคาสมเหตุสมผล เรียกง่ายๆ ว่าเป็นรถเอสยูวี 2 ล้อ อรรถประโยชน์การใช้สอยครอบคลุมทั้งการใช้งานในเมือง การเดินทางไกล ขี่ท่องเที่ยว หรือเอาไว้ลุยก็ได้สบายๆ รถ 1 คันตอบโจทย์ทุกสถานการณ์ และที่สำคัญลุยน้ำรอระบายได้สบายๆ ใครที่สนใจไปลองขี่ Royal Enfield Himalayan ได้ที่โชว์รูมของ Royal Enfield ได้ทุกสาขา สุดท้ายขอขอบคุณ Royal Enfield Thailand ที่เอื้อเฟื้อรถ Royal Enfield Himalayan ในการทดสอบครั้งนี้
Royal Enfield Himalayan
เครื่องยนต์ 1 สูบ 411 ซีซี 4 จังหวะ 4 วาล์วต่อสูบ
เกียร์ 5 สปีด
พละกำลังสูงสุด 24.3 แรงม้า 6,500 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 32 นิวตันเมตรที่ 4,250 รอบต่อนาที
น้ำหนักรถ 185 กก.
ความจุถังน้ำมัน 15 ลิตร
ล้อและยาง แบบซี่ลวด และยาง 90/90-21 (น.), 120/90-17 (ล.)