BMW R1250 GS รถ Adventure-Touring ระดับหัวแถวของโลก!
BMW R1250 GS Adventure ที่ขับในวันนี้เป็นรุ่น HP รูปร่างหน้าตาสวยจัด มีความเท่แบบสไตล์สปอร์ต ส่งเสริมให้คนขี่ดูหล่อขึ้นมาทันตาเห็น ไฟหน้า LED มีเอกลักษณ์ที่โดดเด่นสะดุดตาไม่เหมือนใคร และระบบไฟส่องสว่างเป็นแบบ Full LED ทั้งคัน เดินทางไกลหายห่วงเพราะมีถังน้ำมันขนาดใหญ่ 20 ลิตร เติมทีมีจุก
ล้อซี่ลวด หน้าหลัง แข็งแรง ทนทาน แบบ Tubeless มาพร้อมกับระบบดิสก์เบรกคู่จาก BMW หน้าจอเรือนไมล์แบบ TFT อัจฉริยะ บอกทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ความเร็ว รอบเครื่องยนต์ โหมดการขับขี่ ความร้อนเครื่องยนต์ เวลา ทริป ไฟสถานะเครื่องยนต์ รวมถึงเทคโนโลยี BMW Connected ที่เชื่อมต่อกับสมาร์ทโฟน สามารถใช้ GPS นำทางเป็นระยะได้ ฟังเพลง และรับโทรศัพท์ได้ แสดงผลบนหน้าจอ TFT 6.5 นิ้ว พร้อมกุญแจแบบ Keyless พกติดตัวได้ไม่ต้องเสียบไว้ที่ตัวรถ
ปะกับด้านซ้ายปุ่มเยอะมาก แต่ใช้งานง่าย คีย์เลื่อนทั้งหมดจะถูกบังคับด้วยนิ้วมือด้านซ้าย เปิด-ปิด ABS ไฟเลี้ยว ปรับเปลี่ยนโหมดเปิด-ปิดไฟฟ้าแบบ Auto กดดูข้อมูลทริปต่างๆ กดสัญญาณเสียงแตร ควบคุมความเร็วเดินทางด้วย Cruise Control ไฟกะพริบส่งสัญญาณ และสุดท้ายคือ ที่ปรับทิศทางการเลือกโหมดแบบ แอนะล็อก 4 ทิศทางง่ายต่อการบังคับ
ปะกับทางด้านขวาของแฮนด์คือ คันเร่งไฟฟ้า สวิตซ์ Off-Run เปิด-ปิด สตาร์ท เครื่องยนต์ และ Heat Grip อุ่นมือ ฟังก์ชันนี้ได้ใช้เวลาขี่ลุยฝนนานๆ มันช่วยได้เยอะ
เครื่องยนต์บ็อกเซอร์สองสูบ ที่สุดสมรรถนะ ความประหยัด และการควบคุม เครื่องยนต์มีกำลังสูงสุดที่ 136 แรงม้าที่ 7,750 รอบต่อนาที มีแรงบิดสูงสุดที่ 143 นิวตันเมตรที่ 6,250 รอบต่อนาที แบบ 2 สูบนอนยัน แรงขึ้น พร้อมระบบ BMW Shift Cam ระบายความร้อนด้วยน้ำ DOHC 4 วาล์ว/สูบ พร้อมด้วยระบบ Shift Cam คือแคมชาร์ฟหรือเพลาลูกเบี้ยวไอดีจะมี 2 องศาสูงต่ำต่างกัน ปรับแปรผันตามรอบของเครื่องยนต์ คือมีการปรับในช่วง 5,000 รอบต่อนาที เมื่อใช้รอบเครื่องต่ำก็จะใช้เพลาลูกเบี้ยวองศาต่ำ เมื่อใช้รอบสูงเกิน 5,000 รอบก็จะเปลี่ยนไปใช้เพลาลูกเบี้ยวที่มีองศาสูงขึ้น ไม่ใช่แค่มีแคม ที่สามารถเปลี่ยนองศาได้อย่างเดียวที่ปรับใหม่ ยังมีการปรับเปลี่ยนพัฒนาลูกสูบใหม่ แคร้งเครื่องยนต์ใหม่ ข้อเหวี่ยงที่มีการบาลานซ์ให้ขับขี่ได้ดีขึ้น เนียนขึ้นและนิ่งขึ้นในการทำงานของระบบเครื่องยนต์ รวมไปถึงสำหรับสายลุย ที่ใช้รถอยู่บนเนินบ่อยๆ ทางบีเอ็มดับเบิลยูได้ออกแบบการจ่ายน้ำมันเครื่องขณะขับขี่บนเนิน ให้ไปหล่อเลี้ยงเครื่องยนต์ได้อย่างเพียงพอมากขึ้น ทำให้ตัดปัญหาเรื่องความร้อนไปได้อย่างหมดห่วง พร้อมท่อไอเสียขนาดใหญ่กำลังดี เสียงทรงพลัง ผ่านมาตรฐาน Euro 4
โหมดการขับขี่มีให้มา 6 โหมดด้วยกัน คือ Rian, Road, Dynamic, Enduro, Dynamic Pro และ Enduro Pro ซึ่ง 2 โหมดหลังต้องครบ 1,000 กิโลเมตร ถึงจะใช้งานได้ และต้องไปอัปเกรดที่โชว์รูม
4 โหมดแรกเริ่มต้นที่ Rain ปรับตั้งช่วงล่างให้นุ่ม ให้การซับ และคืน ช่วงล่างที่ไม่สม่ำเสมอทั้งหน้า - หลัง เพื่อให้ช่วงล่าง ช่วยในการเพิ่มการยึดเกาะอย่างเต็มเหนี่ยว พร้อมระบบความปลอดภัยทำงานแบบ “เต็ม” โหมด Road ช่วยปรับตั้งช่วงล่างเพื่อการใช้งานบนทางหลัก ให้ความเสถียรภาพ และความสม่ำเสมอของการตอบสนองบนทางเรียบ พร้อมระบบที่ปรับตั้งเพื่อทางเรียบแต่ยังคงให้ความนุ่มนวล ลอยผ่านหลุม ลูกระนาดต่างๆ ได้แบบสบายๆ
โหมดต่อมา Dynamic เป็นการปรับตั้งช่วงล่างที่ “แน่น &หนืด” ขึ้น เพื่อการตอบสนองกับการขับขี่บนถนนที่คดเคี้ยว หรือใช้ความเร็วบนทางเรียบอย่างต่อเนื่อง และโหมด Enduro ให้การตอบสนองที่พร้อมลุย ซับแรงจากพื้นในเส้นทางออฟโรด แต่ยังคงไว้ซึ่งการยึดเกาะ ที่ทำงานสอดคล้องกับล้อหลัง ที่ “พร้อมปั่น” ฝ่าอุปสรรคได้โดยระบบ DTC ยังคงทำงานอยู่ แต่ยอมให้ปั่นเพื่อผ่านอุปสรรคไปได้
ซึ่งโหมดทุกโหมดก็จะทำงานสัมพันธ์กับระบบช่วงล่างอิเล็กทรอนิกส์หรือช่วงล่างไฟฟ้า Dynamic ESA (Electronic Suspension Adjustment) “Next Generation” ซึ่งระบบ Dynamic ESA (Next Generation) จะปรับ Preload อัตโนมัติทำงานสัมพันธ์กับโหมดขับขี่ รวมถึงระบบ Automatic Stability Control (ASC) หรือระบบควบคุมเสถียรภาพอัตโนมัติ ที่ทำงานร่วมกับระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ช่วยเหลือการขับขี่ต่างๆ เป็นแพ็คเกจเสริม แยกตามนี้ ระบบ Hill Start Control Pro (HSC Pro) ช่วยหยุดและออกตัวบนเนินชัน , ระบบช่วงล่างอิเล็กทรอนิกส์ Dynamic ESA (Next Generation) ระบบ Dynamic Traction Control (DTC), ระบบ ABS Pro, ระบบ Dynamic Brake Assistant (DBC) และ Shift Assistant Pro ซึ่งแต่ละระบบก็สามารถปรับแยกได้อย่างอิสระ
ส่วนระบบที่คนขาสั้นระแวงคือเมื่อต้องจอดบนทางลาดชันจะมีระบบ Hill Start Assistant Pro ช่วยในการจอดและออกตัวในทางลาดชัน ทั้งลงเนินและขึ้นเนิน เมื่อเราใช้เบรกไม่ว่าจะเบรกหน้าหรือเบรกหลังบนทางลาดชั้นจนไฟ H (Hill Start Control) โชว์บนหน้าจอเรือนไมล์ ก็สามารถปล่อยมือได้ เข้าเกียร์ว่างได้ หรือตั้งหลักเพื่อขึ้นหรือลงเนินได้อย่างดีโดยไม่ต้องคาเกียร์ รวมถึงไม่ต้องกำและเหยียบเบรกค้างไว้ รถจะหยุดคาเนินโดยไม่ไหล โดยกล่อง ECU จะประมวลผลอย่างรวดเร็วเมื่อพื้นผิวหรือสภาพถนนมีความลาดชันเกิน 5% เมื่อเทียบกับระดับน้ำทะเล ถือว่าเป็นตัวช่วยอย่างหนึ่งเลยที่จะทำให้รถสามารถลุยเข้าไปในสภาพถนนเชิงภูเขาได้อย่างสบาย
อีกหนึ่งระบบที่อยากบอกคือ ABS Pro ระบบเบรกจะทำงานร่วมกับเซ็นเซอร์จับองศาการเอียงของรถ โดยจะแปรผันแรงเบรกให้เหมาะสม ไม่ว่าจะเป็นการใช้เบรกเพื่อการหักหลบสิ่งกีดขวางต่างๆ หรือใช้เบรกในขณะเข้าโค้ง ระบบ ABS ทำงานในโค้งได้อย่างเสถียรที่สุด โดยการกำเบรกเข้าโค้งได้อย่างไร้กังวล ในการเบรกแต่ละครั้งทั้งฉุกเฉินและไม่ฉุกเฉินทำให้รถยังคงลีนตามองศาการโค้งเหมือนเดิม ทำให้รถไม่ตั้งขึ้นมาในขณะเข้าโค้งสามารถชะลอความเร็วหรือหลบสิ่งขีดขวางได้อย่างปลอดภัย รวมไปถึงระบบ DBC ( Dynamic Brake Control ) เมื่อเบรกฉุกเฉิน แรงเบรกจะถูกกระจายออกสองล้อเท่ากัน พร้อมตัดกำลังของเครื่องยนต์ลงพร้อมกัน ทำให้ไม่มีการโยนตัวไปด้านหน้า เอาง่ายๆ คือหน้าทิ่ม เสียอาการ การมอง การเบรก และการบังคับล้อ ทุกระบบทำงานพร้อมกันทำให้การขับขี่ทั้งออนโรดหรือออฟโรดเป็นไปได้ง่ายขึ้น
ล้อหน้า มีวงล้อขนาด 19 นิ้วเป็นล้อซี่ลวดที่ออกแบบมาโดยไม่ต้องใช้ยางใน Tubeless มาพร้อมกับยางขนาด 120/70R ระบบเบรกแบบ ดิสก์เบรกคู่ ขนาด 305 มิลลิเมตร คาลิปเปอร์เบรกแบบเรเดียนเมาท์ 4 สูบ ถูกยึดติดกับโช้กหน้าขนาด 37 มิลลิเมตร ให้ตัวได้บนแผงคอม้าที่มีโช้กอัพกลางแผงคอ Central spring strut อีก 1 ตัวที่คอยซับแรงกระแทกทำให้การขับขี่ราบรื่น นุ่มนวลยิ่งขึ้นเท่ากับด้านหน้ามีโช้กอัพทั้งหมด 3 ต้น
ล้อหลัง ขนาด 17 นิ้วเป็นแบบซี่ลวด Tubeless มาพร้อมกับยางขนาด 170/60R ถูกยึดติดกับเพลาขับเคลื่อนเดี่ยวด้านซ้าย ระบบเบรกแบบดิสก์เบรกเดี่ยว คาลิปเปอร์ของ Brembo 2 ลูกสูบขนาด 276 มิลลิเมตร ซับแรงกระแทกด้วยโช้กหลังเดี่ยวแบบไฟฟ้า สามารถปรับความหนืดและการยุบตัวของสปริงได้ด้วยระบบไฮดรอลิก ควบคุมด้วยระบบไฟฟ้าหรือ Dyanamic ESA ตอบสนองผู้ใช้ตั้งแต่ตอนถ่ายน้ำหนักลงเบาะเพื่อคำนวณตามแกนสมมาตรหน้าหลังต้องมีระยะยุบเท่ากัน ไม่เกี่ยวกับน้ำหนักคนซ้อน อ้วน หรือ ผอม ก็สามารถที่จะทำให้ หน้าและหลัง มีความสูงเท่ากัน มีประสิทธิภาพในการขับขี่มากขึ้นอีกด้วย
ขี่แล้วคุยหน่อย
จะกล่าวถึงแค่บางฟังก์ชัน เพราะรถคันนี้ระบบและฟังก์ชันเยอะมาก ปรับได้หลากหลายรูปแบบ เริ่มแรกเห็น BMW R1250 GS บอกเลยครับแอบหวั่นเล็กน้อยเพราะตัวรถค่อนข้างใหญ่ หนัก และสูง!!! แต่เพียงแค่ได้ขึ้นไปนั่งคร่อม ต้องแปลกใจเพราะรถมีความบาลานซ์ดีมาก ทำให้รู้สึกไม่หนัก เบาะสามารถปรับระดับลงมาได้อีกเลยวางเท้าได้เกือบเต็ม อาจเนื่องมาจาก ช่วงล่างไฟฟ้า Dynamic ESA ทำงานทันที เมื่อมีน้ำหนักกดลงไปที่ตัวรถทำให้รถปรับสมดุลหน้าหลังได้ดี ตัวเบรกและคลัตช์สามารถปรับระยะได้
เสียงเครื่องยนต์นุ่ม ทุ้ม เสนาะหูยิ่งนัก ตามสไตล์เครื่องยนต์ Boxer บริเวณหน้าจอเรือนไมล์ TFT 6.5 นิ้วโชว์โลโก้ชวนให้ออกไปขี่ได้แล้ว รอบเครื่องยนต์ให้ความเสถียรไม่แกว่ง เหมือนเครื่องยนต์ตัวเก่า เครื่องยนต์ตัวใหม่นี้มีการบาลานซ์ข้อเหวี่ยงทั้งหมด ลูกสูบใหม่ รอบเครื่องเดินเนียนเลย สมูทเมื่อกดคันเร่งลากรอบออกไป การตอบสนองดุดัน พุ่งทะยาน เร้าใจ แรงบิดของเครื่องยนต์ค่อนข้างเยอะ เข้าเกียร์ 1 ปล่อยรถไหลๆ ไปได้ไม่ดับง่าย ขึ้นเนินติดเกียร์ ก็ปล่อยมือได้ด้วยเกียร์ 1 เพราะคันเร่งไฟฟ้าทำงานได้ดี แรงบิดดีและอีกระบบที่ชอบคือ TCS ที่ทำงานไวมากและละเอียดมาก ยิ่งถ้าขับขี่ด้วยโหมด Rain ยิ่งละเอียดทางฝุ่น ทางฝน ทางลื่น ทางโค้งลื่น สามารถเปิดคันเร่งได้เลยไม่ต้องกลัว เพราะกล่อง ECU คำนวณได้ไวปานปีศาจ ไม่มีอาการล้อสลิป ท้ายปัด
อีกหนึ่งระบบที่ชอบคือ Dynamic ESA ช่วงล่างทำงานได้เร็ว คือถ้าวิ่งบนทางดำ เรียบ เล่นโค้งไปมาได้สนุก หนึบๆ แน่นๆ อยู่ๆ อยากเลี้ยวเข้าทางขรุขระ ทางหลุม ช่วงล่างก็ปรับรองรับแรงกระแทกได้อย่างดี ทั้งที่ยังไม่ได้ปรับโหมดการขับขี่แต่อย่างใด กล่าวคือระบบ Dynamic ESA ที่เปลี่ยนตามสภาพถนนถนนที่ขี่ในขณะนั้น ได้เร็วกว่ามนุษย์เราเสียอีก
ถ้าคนที่ชอบการขับขี่ท่องเที่ยว ชอบความท้าทาย ใช้งานในเมืองได้ ถ้ามีสกิลการขี่แบบเอาตัวรอดได้ และต้องเลือกพาหนะคู่กาย BMW R1250 GS คงเป็นทางเลือกที่ไม่น่าพลาด และที่สำคัญ...ราคาถ้าไหวก็จัดเลย
BMW R 1250 GS มีให้เลือกทั้งหมด 3 แบบ 3 ราคา รุ่น BMW R 1250 GS Limited Edition ราคา 1,085,000 บาท รุ่น BMW R 1250 GS HP Style ราคา 1,105,000 บาท และรุ่น BMW R 1250 Adventure ราคา 1,174,000 บาท
R 1250 GS Adventure HP
ราคา 1,105,000 บาท
เครื่องยนต์ 1,254 ซีซี Boxer 2 สูบ, DOHC พร้อมCentral Balance shaft, เทคโนโลยี BMW ShiftCam
เกียร์ 6 สปีด พร้อม Helical gear teeth
พละกำลังสูงสุด 136 แรงม้า ที่ 7,750 รอบต่อนาที
แรงบิดสูงสุด 143 นิวตันเมตร ที่ 6,250 รอบต่อนาที
น้ำหนักรถ 268 กก. (น้ำมันเต็มถัง)
ความจุถังน้ำมัน 30 ลิตร
ล้อและยาง ล้อ 3.00 x 19" (น.), 4,50 x 17" (ล.)
ยาง 20/70 R 19 (น.), 170/60 R 17 (ล.)