ยลโฉมครั้งแรกในประเทศไทยกับสุดยอดยนตรกรรมหรูกับ
The new Porsche Cayenne E-Hybrid
ปอร์เช่ ประเทศไทย โดย บริษัท เอเอเอส ออโต้ เซอร์วิส จำกัด (AAS) ผู้นำเข้าและตัวแทนจำหน่าย รถยนต์ปอร์เช่อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย ร่วมเติมเต็มไลฟ์สไตล์สุดหรูของเหล่าสุภาพบุรุษนำรถอี-ไฮบริดรุ่นเด่นอวดโฉมในงาน Gaysorn Menllennial 2018 ด้วยการเผยโฉม SUV สุดหรู ที่ติดตั้งขุมพลัง E-performance พร้อมอุปกรณ์อำนวยความสะดวกใหม่ล่าสุด ปอร์เช่ คาเยนน์ อี-ไฮบริด รุ่นใหม่ล่าสุด (The new Porsche Cayenne E-Hybrid) ยนตรกรรมสุดหรูที่ผสมผสานการบังคับควบคุมสไตล์สปอร์ต ให้เป็นหนึ่งเดียวกับประสิทธิภาพการทำงานสูงสุด เครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบ V6 ความจุ 2,995 ซีซี พร้อมระบบ ปลั๊ก-อิน (Plug-in) ให้พละกำลังสูงสุดรวมกว่า 462 แรงม้า (340 กิโลวัตต์) แรงบิดสูงสุดถึง 700 นิวตันเมตร พร้อมพุ่งทะยานอย่างไร้ขีดจำกัด ทันทีที่เหยียบคันเร่ง มาพร้อม ภายใต้การออกแบบด้วยแนวคิดการพัฒนาแบบเดียวกับปอร์เช่ 918 สไปเดอร์ (Porsche 918 Spyder)
คาเยนน์ อี-ไฮบริด (Cayenne E-Hybrid) โดดเด่นด้วยชุดแต่งสปอร์ตโครโน (Sport Chrono Package) ซึ่งติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน มาพร้อมโหมดการขับขี่ 2 โหมดด้วยกัน อย่าง Sport และ Sport Plus ที่เน้นการดึงสมรรถนะตัวรถออกมาจนถึงขีดสุด พลังงานจากแบตเตอรี่ทั้งหมดจะได้รับการนำมาใช้เพื่อสร้างอัตราเร่ง สำหรับโหมด Sport การชาร์จแบตเตอรี่จะเกิด ขึ้นเพื่อให้เพียงพอต่อการเสริมพละกำลัง ในส่วนของโหมด Sport Plus แบตเตอรี่จะได้รับการชาร์จอย่างรวดเร็ว ที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ โหมดการขับขี่อื่นๆ นั้นเหมาะสมกับลักษณะการขับขี่ที่มุ่งเน้นประสิทธิภาพในการประหยัดน้ำมัน เชื้อเพลิงสูงสุด พร้อมการชาร์จพลังงานผ่านระบบ Porsche Connect app และ Porsche Charging Service แบตเตอรี่สามารถชาร์จพลังงานจนเต็มความจุได้ภายในระยะเวลาเพียง 2.3 ชั่วโมง
คาเยนน์ อี-ไฮบริด (Cayenne E-Hybrid) ให้การขับขี่และการตอบสนองรวดเร็วฉับไวด้วยเกียร์อัตโนมัติอัจฉริยะ 8 จังหวะ Tiptronic S ใหม่ล่าสุด และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ all-wheel drive ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ ผ่านอุปกรณ์ map-controlled multiplate clutch เพื่อกระจายแรงบิดไปยังล้อขับเคลื่อนอย่างเหมาะสมแม้แต่การขับขี่สไตล์ offroad พร้อมระบบควบคุมการทรงตัว Porsche Active Suspension Management (PASM) ได้รับการติดตั้งเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน นอกจากนี้สามารถเลือกสั่งติดตั้งอุปกรณ์พิเศษอีกหลากหลายรายการ อาทิ ระบบ Porsche Dynamic Chassis Control (PDCC) ระบบ roll stabilisation และระบบลากจูงรถต่อพ่วงที่สามารถ รับน้ำหนักได้สูงสุดถึง 3.5 ตัน
จัดเต็มอุปกรณ์พิเศษด้วยฟีเจอร์ใหม่ อย่างหน้าจอแสดงผล head-up display ที่ได้รับการติดตั้งเป็นครั้งแรกใน คาเยนน์ อี-ไฮบริด (Cayenne E-Hybrid) ซึ่งทำงานด้วยการฉายภาพข้อมูล ที่เกี่ยวข้องกับระบบต่างๆ ของตัวรถไปยังระดับสายตาของผู้ขับขี่โดยตรงในลักษณะของหน้าจอสี นอกจากนี้ยังมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวกมากมาย อาทิ ระบบดิจิทัลช่วยเหลือผู้ขับขี่อัจฉริยะ Porsche InnoDrive พร้อมระบบควบคุมความเร็วแปรผันอัตโนมัติ adaptive cruise control เบาะนั่งคู่หน้าพร้อมระบบนวดไฟฟ้า massage seats ระบบไล่ฝ้ากระจกบังลมหน้า heated windscreen ระบบทำความร้อนภายในห้องโดยสารแยกตำแหน่ง อิสระควบคุมด้วยรีโมท และล้ออัลลอยน้ำหนักเบา ขนาด 22 นิ้ว ซึ่งคาเยนน์ อี-ไฮบริด (Cayenne E-Hybrid) สนนราคาที่ 7.5 ล้านบาท