ถ้าคิดถึงแค่ระยะเวลาในการใช้งาน  บำรุงรักษาน้อยกว่าเยอะมาก ก็ต้อง กะบะดีเซล ครับ   แต่ถ้าคำนึงเรื่องความประหยัด ก็ต้อง เก๋ง แก๊ส 

แต่ถ้าดูเรื่องพื้นที่ใช้สอยคู่ไปด้วย  และได้ความประหยัด  เรื่องบำรุงรักษาตัดไป เพราะไงรถแก๊สก็ต้องจ่ายมากกว่า รถน้ำมันอยู่แล้ว ในเรื่องระบบไฟฟ้า  เพราะเครื่องร้อน เสียเร็ว    ถ้าดู 2 เรื่องนี้ ก็ เลือก กะบะ เบนซิน ติด LPG  ติดไปเลย 2 ถัง  วิ่งได้เป็น 1000 โล ต่อการเติม 1 ครั้ง เอิ๊ก

ตัวที่มีอยู่ในคลาด ตอนนี้ และกำลังจะมา คือ toyota vigo champ 2.7  , Triton plus 2.4 และอีกตัวคือ Ford all new ranger 2.5

คิดแค่เรื่อง "เชื้อเพลิง" ผมเลือก ดีเซลครับ เพราะอนาคตชัดเจนกว่า ไม่ผูกขาด เป็นสากล ใช้เวลาน้อยกว่า(มาก)ในการเติม และราคาโยงกับเศรษฐกิจอื่นๆ ไม่สามารถ swing ได้มากมายครับ

คิดถึงเรื่อง "เครื่องยนต์" ผมเลือก ดีเซล(ในบอดี้กระบะ)ครับ เพราะความทนทานสูงกว่า ใช้งานหนักได้ดีกว่า การซ่อมบำรุงน้อยกว่า โอกาสเสียกลางทางน้อยกว่า ถึงค่าตัวแพงกว่า แต่จะคุ้มกับไปเสียเล็กเสียน้อยในการ maintainance กับคิดเรื่องเสียเวลา service ยังไงดีเซลก็คุ้มกว่า โดยเฉพาะถ้าใช้งานหนักปานกลาง (แต่ถ้ารถใช้น้อยมากๆ เช่นวันละไม่เกิน ๑๕ กม หรือปีละไม่ถึงเจ็ดแปดพันโล ผมจะมองเบนซินครับ)

แต่สองเรื่องนั้นไม่สำคัญเท่า "การใช้งาน" ครับ หมายถึงทั้งบุคลิกการขับขี่ จำนวนและลักษณะผู้โดยสาร การบรรทุก สภาพถนน สภาพอากาศ ตรงนี้ผมว่าสำคัญกว่ามากๆ ครับ เป็นผมนะ ผมเอาตรงนี้เป็นหลักครับ ซื้อรถที่ตรงการใช้งานที่สุด=คุ้มสุด ครับผม

ตัวอย่างผมเองนะครับ ผมมีรถดีๆ กัดฟันผ่อนคันนึง เป็นดีเซลเจ็ดที่นั่ง กว้างขวางนั่งสบาย ขนพ่อตาแม่ยายและหมาแมวได้หมด ทำความเร็วได้พอใช้งาน ทัศนวิสัยเหมาะกับเดินทางไกล ไม่เสี่ยงกินข้าวลิง และคันนี้ก็ใช้ส่งลูกเมียไปทำงานเรียนหนังสือประจำทุกครั้ง เวลาไปกันครบสามคนพ่อแม่ลูก
และผมก็มีกระบะแม่ยายแก่ๆ คันนึง เป็นดีเซล swirl chamber ไม่เรื่องมากกับน้ำมัน เติมน้ำมันพืช น้ำมันหมู ก็พาผมไปไหนๆ ได้ กินน้ำมันกว่า อืดกว่า(มาก) นั่งไม่สบาย และไม่ซ่อมแอร์ด้วย แต่เครื่องมันโคตรอึดครับ แรงมีพอตัวที่จะเอาตัวรอดในสถานการณ์ปกติและทางชนบทบ้านเรา ผมเอาไว้ขนของ จ่ายตลาด เดินทางในสภาพสมบุกสมบัน หรือเดินทางไกลคนเดียวในหน้าฝนเมืองไทย เพราะยกสูงไว้หน่อย และต่อให้น้ำท่วมจนเข้ามาถึงแป้นคันเร่ง เธอก็ยังว่ายน้ำไปๆๆ ได้ โดยไม่มีอะไรต้องกังวลครับ
สุดท้าย ผมมีเก๋งเบนซินอายุสี่สิบกว่าคันนึง เป็นสปอร์ทโบราณที่ยังขับสนุก ซดน้ำมันอิ๊บอ๋าย เอาใจยากมาก ขับยาก คุมยาก(เมื่อเทียบกับรถปัจจุบัน) ขนาดยื่นกุญแจให้เพื่อนยังไม่มีใครกล้าเอาไปใช้ครับ เจอน้ำท่วมมีเสี่ยงดับ เจอฝนหนักมีเสี่ยงดับ เจอถนนไม่ดีมีเสี่ยงลงข้างทาง... แต่ผมก็เอาไว้เล่น เอาไว้ขับไปจ่ายค่าน้ำค่าไฟ เอาไว้ล้างๆ ขัดๆ แล้วนั่งดูเล่น และเดินทางไกลคนเดียวจะชอบมาก เฉพาะเดินทางกลางวันในฤดูที่ไม่มีฝน(ระบบไฟมันรวนๆ ตามอายุ)

ผมทิ้งไม่ลงทั้งสามคันครับ 

รถเก๋งติด NGV อย่าลืมคิด

1. ค่าน้ำมันที่ใช้ร่วมกับ NGV (ยกเว้นเครื่งยนต์สำหรับ NGV 100 %)

2. ค่าใช้จ่ายเช็คระยะ NGV

3. ต้นทุนติดตั้งระบบ NGV ( กี่เดือนคืนทุนเมื่อเปรียบเทียบกับการใช้น้ำมันอย่างเดียว)

4. ส่วนต่างของราคาขายต่อในอนาคต

ผมขอให้ใบเหลือง คุณ deep_samui โทษฐานพูดจาส่อเสียดกระทบกระเทียบเปรียบเปรยไปถึง "ท่านผู้ทรงเกียรติ"  จึงขอให้ท่านไปอยู่ร่วมกับ "ท่านเหล่านั้น" ในสภา ครับ........แฮ่ม..ล้อเล่นนาครับ  อย่าเครียด  ดูข่าวแต่ละวันแล้วบอกตรงๆว่า "กูอยากจะบ้าตาย"  ขออภัยถ้าใช้คำสุภาพแบบดั้งเดิมไทยแท้ๆนะครับ

ความเห็นที่ 3 เป็นข้อมูลจริงที่สุดครับ เลือกอัลติส CNG ไปเลยครับถ้าไม่ได้บรรทุกอะไร ฟอร์ดมันราคาเหยีบล้านส่วนต่างหลายแสนเติมก๊าซหรือน้ำมันวิ่งได้อีกหลายปี ส่วนกะบะเดี๋ยวนี้ก็คอมมอนเลว ซ่อมแพง(ถ้าระบบปั้มหรือหัวฉีดเสีย) มังกรทองของผมวิ่งได้ 2.20 บาท ผมยังไม่ใช้เลย ใช้ซิตี้ CNG วิ่ง 0.40-0.70 สตางค์ กม.ต่อลิตรดีกว่า อะไรเสียก็ซ่อมค่าซ่อมถูกกว่าค่าน้ำมันหลายเท่าครับ

ถ้าเน้นที่ใช้รถระยะยาว ผมมองที่การซ่อมบำรุงเป็นหลัก รถCNG ปัญหาการดูแลจะจุกจิกและต้องให้เวลากับรถมากกว่ารถใช้น้ำมันในสภาวะการขับขี่เดียวกัน  ถ้าใช้รถไม่เกิน100 กม.ต่อวัน ผมเลือกน้ำมัน  แล้วมาสนใจเรื่องการขับอย่างไรให้ประหยัด หมั่นดูแลรถ วางแผนเดินทาง จะช่วยปรับปรุงนิสัยตัวเองไปด้วย

ความคิดของผมรถจะใช้เชื้อเพลิงชนิดใด ใช้ได้ดีหมดขึ้นอยู่กับว่าใช้รถเพื่อกิจการใดก็เลือกพิจารณาตามความคิดเห็นข้างบน ส่วนปัญหาจริงๆไม่ใช่อยู่ที่เชื้อเพลิงชนิดไหน ที่สะอาดจนดมได้เป็นมิตรกับทุกๆสิ่งยกเว้นคนใช้ แต่อยู่ พณฯท่านผู้ทรงเกรียติที่มีอาชีพหลักมาบริหารบ้านเมืองจะมีกึ๊นหรือจิตสำนึกจริงๆแค่ไหน ที่เข้ามานะทำเพื่อใคร จะไปถึง B100 แค่ B5 ก็ทำให้กล้วยทอดแพงขึ้นอีกแล้ว....กล้วยจริงๆ

ขอพูดจากประสบการณ์ที่ใช้มาทั้งคู่นะครับ เฉลี่ยวิ่งวันละประมาณ 100 กม. คันแรกเป็นกระบะดีเซล ขับแบบประหยัดสุดๆได้ กม.ละ 2.50 บาท ค่าน้ำมันเดือนละประมาณ 7500 บาท แต่พอเปลี่ยนมาใช้รถเก๋ง NGV เหลือ กม.ละ .85 บาท ค่าน้ำมันประมาณเดือนละ 2500 บาท มีเงินเหลือติดกระเป๋าเดือนละ 5000 บาท ปีละ 60000 บาท ทำอะไรได้อีกเยอะครับ สามารถพาครอบครัวเที่ยวแบบสนุกๆ เดือนเว้นเดือนได้สบายๆครับ สรุปว่าถ้าเป็นผม เลือกเก๋ง NGV ครับ ดูแลตามระยะปกติก็ไม่มีปัญหาอะไรครับ 

ถ้ารถเก๋งดีเซล ก็ตามคุณนนท์ไปเลยครับ   ถ้ากะบะดีเซล ผมว่าไม่ไหวมังคับ 11-12 โลลิตร นี่เก่งแล้วนา

คุณเปรียบเทียบรถคนละประเภทกันครับ แต่จากที่คุณกล่าวมา แสดงว่าคุณไม่ได้เน้นบรรทุกอะไรมาก เน้นที่ความประหยัดเชื้อเพลิง

ประมาณว่ารถเก๋งดีเซลวิ่งได้ 20 กม./ลิตร (น้ำมันดีเซลลิตรละ 30 บาท) รถเก๋ง CNG วิ่งได้ 10 กม./กก. (CNG กก. ละ 8.50 บาท)

> เก๋งดีเซล: 30/20 = 1.50 บาท/กม. (รุ่นที่น่าสนใจก็เจ้า FORD Focus 2.0 TDCi กับ CHEVROLET Cruze 2.0 VDCi)

> เก๋ง CNG: 8.50/10 = 0.85 บาท/กม. (หรือกระบะที่ใช้ CNG ล้วนๆ ก็เจ้า TATA Xenon 2.1 CNG)

สรุปว่าถ้าคุณใช้ระยะทางวันละไม่มาก ใช้รถดีเซล ถ้าระยะทางไกลใช้ CNG แต่ถ้าต้องการบรรทุกหนักและเครื่องยนต์ที่อายุการใช้งานนานๆ ก็หนีไม่พ้นดีเซลครับ