สองวันก่อนได้ไปเดินงาน Fast  Auto Show ที่ไบเทค ก็ได้เข้าไปถามค่าย มาสด้า เรื่องน้ำมัน ก็ได้คำแนะนำเพิ่มเติม ทำนองว่า ถ้าจะใช้ ​E85 ก็เติมแล้ววิ่งยาว หรือทางไกลเลย แรงม้าที่ได้จะเยอะกว่า (ตีนปลาย) แต่ถ้าใน กทม ควรใช้ E 20  แรงบิดจะมากกว่า (ตีนต้น) และระเหยช้ากว่า ใช้คำว่า เนื้อมันมันมากกว่า ระเหยช้ากว่า  รวมทั้งได้ถามเรืองแรงบิด แรงม้าด้วยคืออะไร ก็ตอบว่า แรงม้าคือตีนปลาย แรงบิดคือ ตีนต้น   และก็ได้ไปดูรถมือสองหลายยี่ห้อ บางคันใช้แค่สองพันกว่า กม เอง ปล่อยขายแล้ว อาทิ นิสสันมาร์ช บางคันใช้1ปีกับ4เดือน เลข กม 80000 กว่า (ถือว่าใช้มากเลย) เป็นฟอร์ด EcoSport  และบางคันใช้นาน เป็น10 ปี อาทิ Alphard ราคาขาย 1.5 ล้าน คนที่คิดจะซื้อรถก็คงคิดหนักน่ะ เพราะรถใช้มา 10 ปี แล้ว  ก็เล่าเป็นข้อมูลกันครับ

"สรุปว่า  เต็มถังเทียบกันแล้ว E85 วิ่งได้น้อยกว่า E20  

ถ้านาน ๆ เติมควรใช้   E20  

E85 ให้แรงม้าเยอะกว่า E20  (ออกแนวไปเรื่อยแต่เร็ว ความหมายเดียวกันไหมครับ)

แล้วถ้าคิดคำนวนเทียบกันแล้ว ตก กิโลเมตรล่ะ เป็นเงินเท่าไรได้ครับ ระหว่าง E85 กับ  E20

 คือผมเองเน้นใช้ใน กทม เฉลี่ยไปกลับน่าจะตกวันละ 50  กม รวมเสาร์อาทิตย์ก็น่าจะสัปดาห์ล่ะ 400 กม หรือเฉลี่ยปีละ 20000  กม     ในเมืองก็คงเน้นเรื่องประหยัด คงไม่ต้องการความแรงหรืออัตราเร่งอะไร 

และถ้าออกต่างจังหวัด เส้นทางที่ต้องขึ้นเขา ยกต้วอย่างจาก กทม ไปเชียงราย ควรใช้ตัวไหนดีครับ       (รถมาสด้า CX3 ครับ) "

ตอบงี้ครับ เต็มถังครับวิ่งได้น้อยกว่าแน่นอนแต่จะน้อยกว่ามากหรือแค่นิดเดียวก็อีกเรื่องครับ รถผมก็ใช E85 กับ E20 สลับกันเพราะบางทีมันไม่มีที่ให้เติม E85 ก็ต้องใช้ E20 ประหยัดในเรื่องเงินที่เติมในเมืองผมก็ E85 ต่างจังหวัดผมก็ E85 เหมือนกัน

ตอบความหมายของออกแนวไปเรื่อยแต่เร็ว ออกตัวไปได้เรื่อยๆ คือถ้าขับ cvt จะเข้าใจอารมณ์นี้นะครับผมจะออกแนวปล่อยไหลจนได้ความเร็วที่ต้องการแล้วความเร็วมันจะไหลไปพักนึงนะครับเพียงแค่กดคันเร่งนิดเดียว

ใช้ในกทม.มันก็แล้วแต่เส้นทางการขับขี่สภาพแวดล้อมนิสัยคนขับจะไปกะเกณฑ์ว่าจะต้องได้เท่านั้นเทา่นี้หรือผลเท่านั้นเท่านี้คงไม่ได้ ผมวิ่งบางซื่อลาดพร้าวทุกวันระยะรวมๆ ก็70โลขาดไม่เท่าไหร่ติดซะ3-4 ชั่วโมงก็ตลอดผมก็วิ่งได้ 4 วันสำหรับ E85 และ E20 ผมก็ได้พอๆ กันผมเลยตัดสินใจใช้ E85 ด้วยราคาที่เติมมันถูกกว่าครับ

วิงทางไกลยังไงมันก็ไปได้ครับผมเคยไปวิ่งตาม gps อะนะไม่รู้ว่าเส้นไหนยังไงนะผมก็ใช้ E85 ได้แต่ระหว่างทางช่วงนั้นมันไม่มีจะมีก็ไกลก็ต้องเติม E20 สมัย 3-4 ปี นี่แหละผมก็ขึ้นเนินได้นะสุงๆชันๆ นี่แหละ

ความคุ้มค่ามันต้องเจ้าของรถครับตัดสินจะให้ผมหรือใครมาชี้มันก็ไม่ได้ต้องไปลองก่อนครับถังสองถังอย่างคุณสงครามว่านั่นแหละเดี๋ยวก็รู้เรื่อง

 ...รถทั่วไป เน้นประหยัด  เลือก อี 20 ครับ  

  ถ้าอี 20  17 กม/ลิตร  อี 85 จะตกแถว ๆ 14 กม/ลิตร  ส่วนคิดเป็นเงิน เทียบเอาครับ 

ในทางทฤษฎี(เขาอ้างไว้)  อัตราใช้เชื้อเพิ่มขึ้นเพลิงเป็นร้อยละ  เทียบกับ 95      ....    อี 20          10  ...  อี 85       25-30 .......

แต่รถผม ไม่ใช่  รถผม อี  20 พอ ๆ กับ 95    ส่วน อี 85   รถผมเปลืองกว่าราว ๆ ร้อยละ 15 เท่านั้นเอง...รถผมใช้อี 85 ถึงประหยัดเงินกว่า อี 20

   สำหรับคุณลองได้นี่  พอน้ำมันจะหมด  ก็เปลี่ยนเชื้อเพลิงได้ สองถัง ก็รู้แน่แล้วครับ

สรุปว่า  เต็มถังเทียบกันแล้ว E85 วิ่งได้น้อยกว่า E20  

ถ้านาน ๆ เติมควรใช้   E20  

E85 ให้แรงม้าเยอะกว่า E20  (ออกแนวไปเรื่อยแต่เร็ว ความหมายเดียวกันไหมครับ)

แล้วถ้าคิดคำนวนเทียบกันแล้ว ตก กิโลเมตรล่ะ เป็นเงินเท่าไรได้ครับ ระหว่าง E85 กับ  E20

คือผมเองเน้นใช้ใน กทม เฉลี่ยไปกลับน่าจะตกวันละ 50  กม รวมเสาร์อาทิตย์ก็น่าจะสัปดาห์ล่ะ 400 กม หรือเฉลี่ยปีละ 20000  กม     ในเมืองก็คงเน้นเรื่องประหยัด คงไม่ต้องการความแรงหรืออัตราเร่งอะไร 

และถ้าออกต่างจังหวัด เส้นทางที่ต้องขึ้นเขา ยกต้วอย่างจาก กทม ไปเชียงราย ควรใช้ตัวไหนดีครับ       (รถมาสด้า CX3 ครับ) 

อิอิ ผมเป็นประเภทปล่อยไหลนะครับ ผม 120 รอบก็ไม่เกิน 2500 ตลอด ประเด็นตรงนี้คือขึ้นกับอุปนิสัยการขับขี่ของผู้ขับเป็นหลักนะครับก็ให้เจ้าของไปคิดดูว่าตัวเองเป็นแบบไหน บอกไว้ก่อนว่า E85 จะเหมาะกับการแบบไล่ระดับค่อยเลี้ยงความเร็วไป

ความประหยัดมองได้สองทางคือประหยัดเงินหรือได้ระยะทางเพิ่ม

ความแรงอันนี้เทสกันก็แรงๆกันทั้งนั้น แต่ขับจริงก็แยกกันไม่ออกซะทีเดียวจนกลายเป็นอุปทานไปว่าเฮ้ยมันแรงนะก็เป็นไปได้ขับจริงบนถนนผลต่างจากเทสๆ กันนะครับเจ้าของรถ

ผมจะบอกว่าถ้าจะลองก็ลองไปเติมแล้วใช้ดูครับ E85 ไม่ใช่น้ำมันสำหรับพวกประเภทใจร้อนออกแนวไปเรื่อยแต่เร็วนะ ผลเป็นไงก็ไตร่ตรองเอานะครับว่าเหมาะหรือเปล่าที่จะใช้หรือไม่ใช้ พวกผมก็ได้แต่ให้ความเห็นตามประสบการณ์ใช้จริงๆ ที่เหลือก็ไปลองครับ

 ......ขอแก้ไขการพิมพ์ของผม..ปรับแคม  เป็นปรับองศาไฟจุดระเบิด...  ครับ

ชอบผิดเป็นแคม  อยู่เรื่อยเชียว..

ปกติ  ผมวิ่งคนเดียว อาจจะออกตัวเร็ว  แต่ไม่ฟรี  กดแถว ๆ สามพันรอบเอง..แต่เวลาเล่นนี่  จากวิ่งปกติ  แถว ๆ  12   เหลือ  5-6 กม/ลิตร เลย...

เสริมคุณ สงคราม

ถ้าจะให้เน้นผมเน้นในเรื่องของรถที่คงเดิมไม่มีการแต่งเะพิ่มอะไรนะครับเดิมๆ โรงงาน อย่างผมใช้ Jazz ผมก็ไม่แน่ใจว่าปรับกันละเอียดหรือไม่ของผมนะขี้เกียจไปดู ตั้งแต่แรกที่ใช้จนตอนนี้ การจุดระเบิดไม่ได้หนีไปจากครั้งแรกที่ใช้นะครับร้อนๆ ก็ติดง่ายเย็นมากๆ ก็รอนิดนึง

เรื่องความแรงผมว่าแยกกันไม่ออกว่ามันแรงหรือไม่เพราะรถผมเดิมๆ  ถ้าเดินทางไกล E85 ก็ทดแทนได้นะครับจาก 600 กิโลนิดๆ หรือมากกว่าน้อยกว่าหน่อยด้วยความเร็วที่ผมเคยว่าไป คืออันนี้ต้องดูที่การขับ ผมขับเรื่อยๆ ไม่เน้นออกแบบล้อหมุนฟรีเลยอะไรแบบนั้น

ออกตัวแล้วความเร็วคงที่ได้ที่ต้องการแล้ว ไม่ต่างกันเท่าไหร่โดยรวมขึ้นกับนิสัยการขับขี่ แรงไม่แรงไม่รู้ครับผมว่ามันก็เฉยๆ นะสำหรับผมขัเรื่อยๆ เลยไม่รู้ว่าแรงขึ้นหรือเปล่าเอาว่าผมเฉยๆ

ถามว่าคุ้มหรือน่าใช้หรือไม่รถคุณรองรับหรือเปล่าไม่รู้ แต่เอาว่าใช้ได้ละนะ เรื่องความแรงก็ว่าไปแล้วความประหยัดมองได้สองอย่างประหยัดเงินในการเติม ขับทางไกลความเร็วคงที่ไม่เกินกฎหมายกำหนดมันประกยัดนะปมก็ทำได้ 600 โลมากบ้างน้อยบ้างก็มีแล้วแต่อย่างนึงกับเงินที่ใช้เติมก็ถือว่าใช้ได้สำหรับผมแต่แน่ละมันเปลืองกว่าชนิเอื่นพอดูเทียบกับ E20 ก็ได้เปลืองกว่า มองในเรื่องระยะทาง ถังขนาด 40 ลิตรรถทั่วไป ขับดีๆ E85 ผมได้ 600 โลกว่าๆ ความเร็วตามระบุไปแล้ว กับ E20 ผมได้ 700 กว่าๆ  คือครั้งสุดท้ายนะผมกลับบ้านนับจากกทม. จนถึงบ้านผมเลย ระยะทางขาไป 370 กิโลกลับอีกก็เท่าเดิมละครับ รวม 740 กิโล แล้วยังมีใช้รถตอนอยู่บ้านอีก 12x โลหน่อยๆ จำไม่ได้ว่าเท่าไหร่ ผมใช้ E85 เติมไป 2 ถังเติมครั้งละ 27 ลิตรมากหน้อยก็ไม่เท่าไหร่ไม่ถึง 30 ลิตรกลัวกินข้าวลิง กลับมาเหลือน้ำมันครึ่งถังขนาดบรรทุก 4 คนขาไป ใช้รถที่บ้าน ขนาดบรรทุก 6 คน ถ้าใช้ E20 ขากลับผมจะเหลือน้ำมันเกินครึ่งถังมาอีกหน่อยจากประสบการณ์

ถามว่าน่าใช้หรือไม่ส่วนตัวก็บอกว่าทั้งน่าใช้ ด้วยเหตุผลของเรื่องความประหยัดอย่างที่ว่ามาสำหรับตัวผม และไม่น่าใช้ก็ด้วยเหตุผลความแรงถ้าคาดหวังก็คงตอบว่ามันก็ไม่ได้แรงหรือแรงอะไรจนรู้สึกได้ว่าแรงแล้วรถวิ่งพุ่งไปอย่างกับจรวดก็ไม่ใช่และอีกเหตุผลเรื่องความประหยัดหลายๆ คนอาจจะมองว่าตัวเลขผมมันไม่ประหยัดเท่าไหร่ในเรื่องระยะทาง แต่เงินที่เติมกับ 5xx กว่าบาทกับ 7xx กว่าบาทเนี่ยก็เห็นความต่างที่ใช้เหมือนกัน เล่าจากที่ใช้ๆ กันนะครับอ่อในเมืองมันเปลืองมหาโหดเลยละบอกเลยแต่ในเมืองผมเติมทีก็ 400 บาท ผมวิ่งได้ 4 วัน บางซื่อลาดพร้าวระยะทาง 68km x 4days 

ขึ้นกับความพอใจครับ

 ก่อนอื่น  ถามก่อน  เป้าหมายเพื่ออะไร?

  ประหยัด  หรือแรง

   สำหรับผมที่ใช้อยู่ ณ  ปัจจุบัน ใน saab 95 คือ  อี 85  อัตราบริโภค  อยู่ที่  11.5-12.5 กม./ลิตร คงที่ 110 (วิ่งไปกลับเขาใหญ่) 

    ตอนนี้กำลังจะกลับไปใช้ อี 20...รอให้น้ำมันพร่องเกินครึ่งถังก่อน

      เหตุผลที่ใช้  อี 85 รถคันนี้  แคมปรับองศาได้ละเอียด  หน่วงเวลาจุดระเบิดได้เยอะ  มันแรงกว่าอี 20  ส่วนการใช้เชื้อเพลิง  สูงกว่าอี20 เพียง ร้อยละ 15..   (อี 85  อยู่ที่ ประมาณ 270 ม้า  อี 20  อยู่ประมาณ 240 ม้า  กดคันเร่ง เห็นความแตกต่างชัดเจน)

     เหตุผลที่กลับไปใช้ อี 20  เนื่องจากใช้วิ่งไม่บ่อยนัก ปีละประมาณสองหมื่นโล  เมื่อเติม อี 85 นาน ๆ  มันจะดูดน้ำเข้าไปสะสมในเนื้อเอทานอลตามคุณสมบัติของมัน  เมื่อน้ำถูกดูดเข้าไปเยอะ ๆ ทำให้คุณสมบัติของน้ำมันเปลี่ยนไป มีผลต่อเครื่องยนต์...หนึ่งถัง ใช้เกินเดือน บางครั้งไปถึงสองเดือน   ข้อสังเกต  เติมอี 85 ใหม่ ๆ  รถผมจะสตาร์ทติดแถว ๆ0.9 วินาที  ค่าจะเลื่อนไปเรื่อย พอก้น ๆถังค่าจะเลื่อนไปแถว ๆ3 วินาที.. ถ้าถังหนึ่งหมดแค่สัปดาห์สองสัปดาห์  ไม่มีผล

   ดังนั้น  ถ้าต้องการประหยัด  ใช้  อี 20  คุ้มกว่า

   ถ้าต้องการแรง  ก็ไม่แน่ว่าอี 85 แรงกว่าหรือไม่ ..... สำหรับรถบางคัน  แคม ไม่ได้ปรับตาม  เพียงแต่ใช้การเพิ่มปริมาณน้ำมันให้ค่าความร้อนใกล้เคียงเท่านั้น  ก็ไม่ได้ประโยชน์   จึงต้องลองเติมว่า  น้ำมันชนิดไหนแรงที่สุด(เขาจูนให้แรงตามน้ำมันชนิดไหน)

ถ้าคันไหนระบุว่าใช้ได้ก็ใช้ดีหรือไม่นั้นก็แล้วแต่คนละครับ เอาว่าที่ถามมาละกัน

การกินน้ำมัน แน่นอนว่ากินกว่าชนิดอื่นแน่นอนครับขับเร็วก็เปลืองครับผมหมายถึงเครื่องยนต์จะมีรอบการประหยัดของมันอยู่ อย่างของผม E20 รอบประหยัดจะอยู่ที่ 80-100 จะวิ่งได้ยาวๆ จะได้ 760 กิโล กับ 85 นะครับวิ่งทางเดียวกันเนี่ยแหละระยะทางก็เท่ากัน ผมวิ่งได้ 660 หรือนิดๆ กินกว่า

อัตราเร่งก็ต้องรอแต่ผมว่าไม่ใช่ปัญหานะแบบเรื่อยๆ นะครับค่อยๆ ไล่ระดับไปก็ได้อยู่

ผลเสีย ระยะยาวก็ตามสภาพรถนะครับมันก็มีเสื่อมๆตามเวลาแหละครับถ้ารถที่รองรับก็ตามเวลาแหละครับ ความร้อนน้อยกว่าชนิดอื่นๆ เพราะงั้นโดยรวมเครื่องจะอยู่นานกว่าครับ

รถที่ไม่รองรับอันนี้ก็ต้องดูกันยาวๆ ถ้าไม่รองรับเลยก็ใช้ไม่ได้ แต่สำหรับที่รองรับแต่ไม่เปิดเผยก็ใช้ได้อันนี้ก็เสี่ยงดวงกันไปเพราะไม่รู้อยู่ในกลุ่มหรือเปล่า

ทั้งหมดผมพูดจากประสบการณ์ตรงเลยครับผมใช้มาจะ 60,000 โลละอาจจะเกินแล้วด้วย ก็ไม่มีปัญหาอะไรเครื่องก็สะอาดดีน้ำหยดติ๋งๆ ดีครับไม่มีปัญหาอะไรนะ แต่ถ้ารถเก่าหมายถึงมีอายุมากแล้วแล้วจะมาใช้ก็นะต้องรับสภาพครับเพราะถังน้ำมันจะมีคราบเก่าๆเกาะอยู่มากมันจะละลายได้แต่อาจจะมีส่วนหนึ่งที่เรียกว่าละลายไม่ทันอาจจะไปติดตามหัวฉีดได้แต่นานๆ ไปก็อาจจะละลายได้เช่นกัน