ยางล้อรถยนต์ที่คุณใช้อยู่นั้น ผสมยางรีไซเคิลมากน้อยเพียงใดและมีอันตรายหรือไม่ ?????
avatar
Jamaica


พี่ครับผมไปเจอเรื่องนี้มาไม่ทราบว่า จะเป็นเรื่องจริงหรือเปล่าครับ ขอความคิดเห็นพี่ๆด้วยครับ

คุณเคยสงสัยหรือไม่ว่า ยางล้อรถยนต์บางยี่ห้อ ทำไมบางยี่ห้อใช้งานผ่านไป 2-3 ปีแล้ว ยางยังนิ่มอยู่เลย แต่บางยี่ห้อใช้ไปแค่ปีกว่าๆ ยางเริ่มแข็งตัวแล้ว ขับเริ่มหอน มีเสียงดัง???

ปัจจุบัน ยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพแล้ว ถือได้ว่าเป็นขยะชนิดหนึ่งซึ่งยังไม่สามารถย่อยสลายได้เองโดยธรรมชาติ จึงได้มีแนวคิดในการนำยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพแล้วนั้น มาผสมกับยางใหม่ เพื่อลดปริมาณขยะเหล่านั้น แต่ท่านทราบหรือไม่ว่า บางแห่งมีการผสมยางรีเคลมลงไปในยางรถยนต์ที่ผลิตใหม่จำนวนมากเพื่อลดต้นทุน การผลิต ทำให้ยางรถยนต์มีราคาถูกมากๆ แต่มันจะส่งผลอันตรายอะไรมาบ้างหรือไม่ เรามาติดตามกัน

โดยตามปกติแล้วเมื่อยางรถยนต์เสื่อมสภาพแล้วเรานำไปขายที่ร้านยางนั้น ร้านยางจะรับซื้อเราในราคาถูกแสนถูก แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่ายางที่เสื่อมสภาพแล้วเส้นละไม่กี่บาท กลับไปช่วยลดต้นทุนการผลิตยางรถยนต์ใหม่ได้ถึง 60% ต่อเส้น เพราะยางเหล่านั้นได้ผสมสารเคมีมากกว่า 30 ชนิดไว้เรียบร้ยยแล้ว เพียงแค่หลอมแล้วเปลี่ยนรูปร่างใหม่เท่านั้น ซึ่งนี่ถื่อเป็นเหตุผลหลักในการทำกำไรซึ่งคุ้มค่ากว่า จากการซื้อยางรถยนต์เก่า มากกว่าการนำไปแยกเป็นน้ำมันหรือ Pyrolysis

ก่อนอื่นๆเรามาทำความเข้าใจกันก่อนครับว่า โมเลกุลของยางรถยนต์ที่เสื่อมสภาพแล้วมีการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางโมเลกุลไปอย่างไร
Create by zyontechnology@hotmail.com

กระบวนการรีเคลมเริ่มจากการแยกเอาชิ้นส่วนต่างๆ ของยางล้อที่ไม่สามารถนําไปรีไซเคิลได้เช่น ขอบลวดออกไปก่อนแล้วนําส่วนของดอกยางและแก้มยางที่ได้ไปบดละเอียดและนําไป ผ่านกระบวนการดีวัลคาไนซ์ (devulcanization process)

1. กระบวนการย่อย (digester process)
กระบวนการย่อยเป็นการดีวัลคาไนซ์ยางที่อุณหภูมิสูง (150 -250OC) ร่วมกับการกวนเป็นเวลานาน 5-12 ชั่วโมง ซึ่งจะทําให้เกิดการแตกของพันธะโพลิซัลฟิดิก แต่ก็อาจทําให้เกิดการแตกของสายโซ่หลักของโพลิเมอร์อีกด้วย ส่งผลทําให้ค่าความต้านทานต่อแรงดึงของยางรีเคลมต่ำลง (4-5 MPa) ซึ่งถือว่าเป็นข้อจํากัดของกระบวนการนี้

2. กระบวนการดีลิงค์ (De-Link process)
กระบวนการดีลิงค์เป็นการใช้สารตัวเร่งปฏิกิริยา สารกระตุ้นปฏิกิริยา และสารรีเคลมใส่ลงในยางมาสเตอร์แบตช์ ซึ่ง
จะผสมในเครื่องบดผสมแบบ 2 ลูกกลิ้งหรือเครื่อง banbury ที่อุณหภูมิต่ํา (80-90OC) ทําให้เกิดการแตกออกของพันธะเชื่อมโยงกํามะถันของยางวัลคาไนซ์

3. การใช้คลื่นไมโครเวฟและคลื่นอัลตราโซนิก
เทคโนโลยีการดีวัลคาไนซ์ยางด้วยคลื่นไมโครเวฟ (ที่ความถี่ 915-2450 เมกะเฮิรตซ์ ปริมาณคลื่นที่ใช้อยู่ในช่วง 41-177
วัตต์-ชั่วโมงต่อปอนด์) และคลื่นอัลตราโซนิก (20-50 กิโลเฮิรตซ์) สามารถใช้ได้กับขยะยางทั่วไปขนาด 30-40 เมช (mesh)และให้ยางรีเคลมที่มีความทนต่อแรงดึงสูง วิธีนี้แม้ว่าจะผลิตด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัย แต่ก็ยังไม่สามารถให้ผลผลิตทางอุตสาหกรรมที่มีประสิทธิภาพได้

การทำยางรีเคลมทั้ง 3 กระบวนการนี้ จะทำให้ยางรีเคลมมีค่าความความทนต่อแรงดึงสูง (10-16 Mpa) เมื่อเทียบกับยางธรรมชาติที่มีค่าความทนต่อแรงงดึงอยู่ที่ประมาณ 20 Mpa ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า ตัวเลขประสิทธิภาพของยางดังกล่าว ประสิทธิภาพในการรับแรงดึงสูง หายไปเกือบ 50% สิ่งเหล่านี้จะบอกอะไรแก่เราได้บ้าง

อ้างอิง http://rubber.oie.go.th/box/Article/26364/7_%E0%B8%A2%E0%B8%B2%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%81%E0%B8%B1%E0%B8%9A%E0%B8%81%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%83%E0%B8%8A%E0%B9%89%E0%B8%87%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%97%E0%B8%B5%E0%B9%88%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B4%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%81%E0%B8%82%E0%B8%B6%E0%B9%89%E0%B8%99.pdf

ยางล้อรถยนต์เมื่อเสื่อมสภาพจากการใช้งานไปแล้ว โมเลกุลของยางจะมีสภาพไม่เหมือนเดิม แต่การนำไปผสมยางใหม่ จะทำให้มีสภาพเหมือนการนำแก็สโซฮอล์ 91 ไปผสม 95 นั่นล่ะครับ มันจะไม่เห็นผลทันที มองด้วยตาเปล่าไม่ออก ยกเว้นถ้าผสมลงไปมากๆ 30-40% และผลที่ตามมาอันดับแรกๆเลยคือ ยางเกิดการแข็งตัวอย่างรวดเร็ว เพราะตัวโมเลกุลของเดิมมันเสื่อมสภาพไปแล้ว แต่กลับถูกบดแล้วนำมาผสมกับของใหม่ เปลี่ยนรูปร่างใหม่เท่านั้น นั่นก็คือการนำ ของที่เสีย นำมาผสมกับของที่ดีๆ ทำให้โมเลกุลของยางใหม่เสื่อมสภาพอย่างรวดเร็ว ทำให้ยางแข็งตัวเร็วภายใน 1 ปีก็จะแข็งตัวแล้ว ขับเริ่มหอนมีเสียงดังนั่นล่ะครับ

นี่คือคำตอบของข้อสงสัยที่ว่า ทำไมยางล้อรถยนต์บางยี่ห้อ ขับได้ 2-3 ปี ยางยังนิ่มสภาพดีอยู่เลย แต่ทำไมยางบางยี่ห้อ ใช้งานแค่ปีเดียว ยางเริ่มแข็งตัว ขับแล้วเริ่มหอนมีเสียงดัง
Create by zyontechnology@hotmail.com

จากเอกสารอ้างอิงตามลิ้งค์นี้ เราจะเห็นได้ว่า บริษัทฯ ………ซึ่งเป็นผู้ผลิตยางรถยนต์ขนาดใหญ่ที่เรารู้จักกันดี ได้มีการจัดตั้งหน่วยงานสำหรับพัฒนายางรีไซเคิลหรือรีเคลมเพื่อมาผสมกับยาง ใหม่โดยตรง โดยการมีการผสมมากถึง 20% ซึ่งเจตนารมณ์อันแท้จริงๆแล้วเข้าใจว่า เป็นไปเพื่อการรักษาสิ่งแวดล้อม โดยนำกลับมาใช้ใหม่

แต่สิ่งเหล่านี้กลับเป็นช่องทางให้บริษัทฯผู้ผลิตยางล้อรถยนต์หลายๆแห่งนำมา ยางรีไซเคิลหรือรีเคลมมาผสมมากถึง 60-70% เพื่อลดต้นทุนการผลิตโดยมิได้คำนึงถึงผลเสียที่จะตกอยู่กับผู้บริโภคต่อไป นี่คือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน

การธุรกิจด้วยจรรยาบรรณที่รับผิดชอบต่อสังคม และการทำธุรกิจเพื่อหวังผลกำไรเกินควรต่างกันอยู่นิดเดียวเท่านั้นเอง

แล้วเราจะทราบได้อย่างไรว่า ???? ยางล้อรถยนต์เส้นไหน ยี่ห้อไหน ผสมยางรีไซเคิลหรือยางรีเคลมลงไปมากน้อยเพียงใด????

วิธีที่ 1. การดึงหนวดยาง บริเวณแก้มยางรถยนต์ จะมีหนวดยางที่เป็นเส้นๆขนาดยาวซํก 2-3 ซม. ให้เราใช้เล็บจิกแล้วดึงออกมาครับ หากดึงออกมาได้ยาวมากๆ ขนาด 3-4 เท่าของความยาวหนวดยางเดิมแล้ว แปลว่า ยางเส้นนั้นมีการรับแรงดึงสูง เนื้อยางใหม่จึงสูง เพราะรับแรงดึงได้สูงมาก

วิธีที่ 2. ระยะเบรกเมื่อถนนเปียก วิธีนี้เป็นวิธีวัดประสิทธิภาพที่ได้ผลชัดเจนมากที่สุดครับ เพราะน้ำจะฉาบผิวถนนเหมือนแผ่นฟิลม์บางๆ ยางคุณภาพไม่ดี ไม่ยึดเกาะถนน ระยะเบรคบิ่งลื่นไถลไปไกล
ยางล้อรถยนต์ที่ผลิดจากยางผสมใหม่จะมีค่าการทนรับแรงดึงสูง และเมื่อเรามาพิจารณายางล้อรถประกอบด้วย 2 ส่วนของยางที่สัมผัสกับพื้นถนน คือ ร่องดอกยางและผิวหน้ายาง แน่นอนละครับว่า ร่องยางมีไว้สำหรับรีดน้ำ แต่ส่วนที่ยึดเกาะถนนจริงๆคือ ผิวหน้าของยาง ยางใหม่จะมีค่าการทนรับแรงดึงสูง การยึดเกาะผิวถนนของยางใหม่จะมีมากกว่ายางรีเคลมเกือบเท่าตัว เรพาะการทนรับแรงดึงสูงนั่นเอง ทำให้ยางใหม่มีการยึดเกาะกับผิวถนนที่ดีกว่ายางผสมรีเคลมหรือรีไซเคิลนั่น เอง

เมื่อยางใหม่มีการยึดเกาะถนนที่ดีกว่า ทนรับแรงดึงสูง ทำให้การจับผิวถนนแน่นกว่า ไม่ลื่นไถลได้ง่ายๆ เมื่อเหยียบเบรกจึงได้ระยะเบรคที่สั้นเมื่อถนนเปียกระยะสั้นไม่เกิน 20-25 เมตร (ตามมาตรฐานเยอะมัน เมื่อขับด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อชม.)

ส่วนยางผสมรีเคลมหรือรีไซเคิล ทนรับแรงดึงต่ำกว่ายางใหม่เกือบเท่าตัว การทนรับแรงดึงที่น้อยกว่า ทำให้เนื้อหน้ายางจับผิวถนนได้เล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเหยียบเบรก ระยะเบรกจึงลื่นไถลไปไกล เพราะการยึดเกาะผิวถนนด้อยประสิทธิภาพมากกว่าเกือบเท่าตัวไงครับ

สิ่งเหล่านี้คือคำตอบของคำถามที่เราสงสัยกันมานานแล้วว่า
ทำไม รถยนต์รุ่นเดียวกัน น้ำหนักรถเท่ากัน ยางหน้ากว้างซี่รีส์เท่ากัน แต่ทำไมระยะเบรกถึงได้แตกต่างกัน
นั่นเป็น เพราะการผสมยางรีเคลมลงไปเป็นจำนวนมากของยางบางยี่ห้อทำให้ประสิทธิภาพในการยึดเกาะถนนด้อยลงไป

แต่เพียงเท่านั้นยังไม่พอ ท่านต้องไม่ลืมนะครับว่า ยางที่ได้ผ่านการทดสอบระยะเบรกเมื่อถนนเปียก จากสถาบันทดสอบระดับโลก(ต้องระบุชื่อุร่นด้วย) มาแล้ว เช่น ไม่เกิน 20 เมตร หรือไม่เกิน 25 เมตร (เมื่อขับมาด้วยความเร็วไม่เกิน 80 กม.ต่อฃม.) และเมื่อท่านใช้งานยางเหล่านี้ไป 6 เดือน หรือ 1 ปี ระยะเบรกเมื่อถนนเปียกจะต้องเพิ่มขึ้น เพราะยางจะเริ่มมีการเสื่อมสภาพจากการใช้งาน จากความร้อน และฝุ่นละออง น้ำมันบนท้องถนน จากเดิม 20 เมตรเคยเบรกอยู่ (เมื่อขับมาด้วยความเร็ว 80 กม.ต่อชม.)
Create by zyontechnology@hotmail.com

การเหยียบเบรคคราวนี้ 20 เมตรไม่อยู่แล้วนะครับ ระยะเบรคจะ ต้องเพิ่มขึ้นถูกไม๊ครับ แล้วยางล้อรถยนต์ที่ไม่ได้ผ่านผลการเทสต์ระยะเบรคเมื่อถนนเปียกมาล่ะครับ ระยะเบรกเมื่อมันเสื่อมสภาพ จะลื่นไถลไปไกลขนาดไหน ลองนึกภาพตามสิครับ

นี่คือสิ่งที่อันตรายมากที่สุดสำหรับยางล้อรถยนต์ที่ผสมยางรีไซเคิลหรือยางรีเคลมไปเป็นจำนวนมาก

ระยะเบรกกระชั้นชิดในวินาทีฉุกเฉิน อย่าว่าแต่ระยะเบรกต่างกัน 5 เมตร 10 เมตรเลยครับ แค่ห่างกันเมตรเดียว เบรกอยู่หรือไม่อยู่ เมตรเดียวก็มีความหมายแล้วครับ จะชน หรือ ไม่ชน ผลลัพธ์แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะไม่ใช่แค่ชีวิตของเราคนขับแต่คนเดียว แล้วอีกหลายๆชิวิตที่อยู่ด้านหลังคนขับอีกล่ะครับ

นี่คืออันตรายแฝงที่เราคิดไม่ถึง อุบัติเหตุหลายๆครั้งที่เราสรุปสาเหตุของอุบัติเหตุกันว่า เพราะลมยางอ่อนไป ลมยางแข็งไป หรือเพราะถูกขับตัดหน้าระยะกระชั้นชิดเกินไป ทำให้เบรกไม่อยู่ เป็นต้น จนเป็นเรื่องธรรมดาที่จะสรุปสาเหตุของอุบัติเหตุกันแบบนี้ แต่ไม่มีใครทันที่จะคาดคิดได้ว่า สาเหตุที่แท้จริงๆของอุบัติเหตุเป็นเพราะ การใช้ยางล้อรถยนต์ที่ผสมยางรีไซเคิลหรือยางรีเคลมเป็นจำนวนมากนั่นเอง

สรุป สิ่งที่ท่านควรทำในครั้งต่อไปเมื่อเลือกซื้อยางล้อรถยนต์ คือ

1. สอบถามถึงระยะเบรกเมื่อถนนเปียก ว่าอยู่ระยะกี่เมตร โดยขอดูใบ Certificate ที่อออกโดยสถาบันทดสอบแห่งนั้นๆ
2. สถาบันทดสอบมาตรฐานแห่งใดเป็นผู้ทดสอบซึ่งหากนำเอาเกณฑ์มาตรฐานที่บริษัทฯ ผู้ผลิตยางชั้นนำต่างๆนำเอามาอ้างอิงแล้ว ควรเป็นสถาบันทดสอบมาตรฐานของเยอรมันครับ เพราะหากเราเปิดดูเว็บไซต์ของ 5 บริษัทฯผู้ผลิตยางชั้นนำแล้ว จะพบเห็นสัญลักษณ์มาตรฐานการทดสอบของเยอรมันปรากฎอยู่ในเว็บไซต์ของบรัษัทฯ ผู้ผลิตยางชั้นนำแทบทั้งสิ้น มาตรฐานเยอรมันจึงใช้อ้างอิงได้ดีที่สุดครับ
3. Certificate ที่ระบุว่า ระยะเบรกบนถนนเปียกอยู่ที่กี่เมตร ต้องมีระบุตัวเลขรุ่นซี่รียส์ที่ทำการทดสอบด้วย เพราะไม่เช่นนั้น บริษัทฯยางหลายๆแห่ง อาจผลิตทั้งของดี และ ไม่ดีมารวมๆกัน แต่นำเอาใบ Certificate ที่รับรองรุ่นซี่รียส์สูงๆ มาใช้รับรองรุ่นซี่รียส์ต่ำๆ .ซึ่งเป็นการไม่ถูกต้อง ดังนั้น เมื่อขอดูใบ Certificate ของยางต้องมีการระบุรุ่นซี่รี่ยส์ของยางไว้ด้วยนะครับ

หากท่านมีข้อสงสัยในสิ่งใดต้องการสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมยินดีให้คำ ปรึกษาโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้นครับ โปรดติดต่อได้ที่ zyontechnology@hotmail.com

อ้างอิง

http://reclaimtyres.blogspot.com/2016/04/blog-post.html



ผู้ตั้งกระทู้ Jamaica (nidnoinarjar-at-gmail-dot-com) :: วันที่ลงประกาศ 2016-05-27 07:04:26 IP : 180.183.99.240


1

ความคิดเห็นที่ 1 (3413232)
avatar
บรรเทาทุกข์
หากกลัวเรื่องแบบนี้ แนะนำ ค่ายyokohama เท่านั้น ปลอดภัย1เจ้า แน่นอน ค่ายอื่นไม่ทราบเลยครับ
ผู้แสดงความคิดเห็น บรรเทาทุกข์ วันที่ตอบ 2016-05-28 20:04:28 IP : 180.180.92.195



1


แสดงความคิดเห็น
ความคิดเห็น *
ผู้แสดงความคิดเห็น  *
อีเมล 
ไม่ต้องการให้แสดงอีเมล



Copyright © 2010 All Rights Reserved.