โดยปกติเครื่องยนต์จะยอมรับองศาการตั้งไฟเป็นช่วง เช่น เครื่อง K ของโตโยต้าจะมีองศาการตั้งไฟ 8 -12 องศา โดยสเป๊คกำหนดที่ 10 องศา ต่อค่าอ๊อกเทนน้ำมัน 92-95  ถ้าเราใช้น้ำมันที่มีอ๊อกเทนสูงกว่าสเป๊ค เช่น เบนซิน 97 (ในสมัยก่อนมีเบนซินซุปเปอร์ ไร้สารสารตะกั่วอ๊อกเทน 97) ก็อาจตั้งไฟให้แก่กว่า 10 ได้เล็กน้อย คืออยู่บริเวณ 12 -13  หรือถ้าไปเติมเบนซินธรรมดา (อ๊อกเทน 87-91) ก็ตั้งไฟอ่อนลงเหลือประมาณ 8 องศา

รถรุ่นเก่าจะใช้วิธีตั้งไฟโดยหมุนเรือนจานจ่ายครับ  แต่ถ้าเป็นรถรุ่นปัจจุบัน ECU จะจัดการให้เอง

จากคำถามของคุณ  ไฟอ่อนคือไฟที่มีองศาน้อยกว่าค่าสเป๊ค  ยกตัวอย่างข้างต้นนะครับ  สมมติผมไปตั้งไฟ 6 องศา ผลคือเสียงสตาร์ท จะคล่องปรื๋อ  เมื่อติดเครื่องจะรู้สึกว่าเสียงเครื่องเงียบลง  รอบต่ำกว่าปกติเล็กน้อย  ถ้าขับออกตัวไป  จะรู้สึกว่ามันอืด  เร่งช้ากว่าที่ควรจะเป็น   สรุปคือเรี่ยวแรงมันลดลงน่ะครับ และในห้องเผาไหม้จะเกิดเขม่ามากขึ้นด้วย

ทำนองกลับกัน  ถ้าผมไปตั้งไฟ 15 องศา (ไฟแก่) ผลก็คือ สตาร์ทอาจจะดูเหมือนหมุนยากขึ้น  เสียงเครื่องดูจัดขึ้นกว่าปกติ ถ้าขึ้นขับออกไป  อาจได้ยินเสียงแกร็กๆๆๆ หรือเสียงน็อค เหมือนเสียงที่เกิดขึ้นเมื่อเราใช้เบนซินอ๊อกเทนต่ำกว่าสเป็ค  ซึ่งแน่นอนครับ  เสียงแกร็กๆๆๆ ทำให้กำลังของรถส่วนนั้นลดลง (เพราะจากพลังงานขับเคลื่อนสูญเสียไปเป็นพลังงานเสียง) และไอ้เสียงที่ว่านี่ก็ทำให้อุปกรณ์ในห้องเผาไหม้หลวมคลอนไปด้วยนะครับ  ถ้าเจอคนขับประเภทกระทืบส่งด้วย  ไม่นานเครื่องอาจพังได้ง่ายๆ

ดังนั้น ควรใช้เชื้อเพลิงให้ถูกต้องตามสเป๊ค  และตั้งไฟให้เหมาะสมกับที่เครื่องยนต์รับได้ครับ

เรื่องคลัทช์ลื่นก็เป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้รถกินน้ำมันได้ครับ  หรืออาจเกิดจากสาเหตุอื่นๆ ได้เหมือนกัน เช่น ECU พบความผิดปกติจากเซนเซอร์ จึงสั่งจ่ายน้ำมันออกมามาก  หรือการปรับจูนเครื่อง  หรือหัวฉีดมีปัญหา ก็เป็นได้ครับ

ปัญหานี้น่าจะเกิดจากครัชท์ลื่น ทำให้เวลาคุณเร่งเครื่องมาก แต่รถไม่วิ่ง ทำให้กิน้นำมันครับ ให้ช่างตรวจสอบเป็นอันดับแรก ด้านเครื่องยนต์ ให้ช่างทำการตรวจสอบทั้งหมดลแต้งองศาจุดระเบิดที่ถูกต้องให้กับคุณด้วยครับ ซึ่งองศาที่ถูกต้องจะระบุอยู่ในคู่มือและเป็นสเป็คที่กำหนดมาจากโรงงานครับ